จากประสบการณ์ของ สมบัติ บุญงามอนงค์ มูลนิธิกระจกเงา ที่ได้สรุปประเด็นเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย บทความนี้จะกล่าวถึงกระบวนการและแนวทางในการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ รวมถึงข้อเสนอเพื่อการฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย.
1. การจัดการภัยพิบัติใน 4 ช่วงสำคัญ
การจัดการภัยพิบัติแบ่งออกเป็น 4 ช่วงหลัก ได้แก่ การป้องกัน การเผชิญเหตุ การฟื้นฟู และการเยียวยา ในประเทศไทย งานฟื้นฟูมักถูกละเลย แต่เป็นขั้นตอนที่สำคัญและใช้ทรัพยากรมากที่สุด การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อคืนสภาพพื้นที่และช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ การเผชิญเหตุในพื้นที่เชียงรายเป็นตัวอย่างที่ดีของการประสานงานอย่างทันสมัย เช่น การใช้เจ็ทสกีและเฮลิคอปเตอร์ รวมถึงบทบาทของทีมซีลในการช่วยเหลือประชาชน.
2. ความท้าทายในการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม
หลังน้ำท่วมใหญ่ที่แม่สาย มีปริมาณโคลนมหาศาลที่ต้องจัดการ การฟื้นฟูจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ เช่น รถดูดโคลน แต่เครื่องจักรที่มีอยู่ในพื้นที่มีไม่เพียงพอ และยังมีปัญหาการขนย้ายโคลนจากชั้นใต้ดินของบ้านเรือน นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของทรัพยากร เช่น เครื่องจักรและแรงงาน ทำให้กระบวนการฟื้นฟูล่าช้า และไม่สามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ.
3. ปัญหาเชิงปฏิบัติและทรัพยากรที่จำกัด
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่พบในการฟื้นฟูคือการขาดแคลนเครื่องมือที่เหมาะสมกับสภาพปัญหา ตัวอย่างเช่น การใช้รถตักโคลนขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ไม่สามารถจัดการโคลนในซอกซอยและบ้านเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้องการรถขนาดเล็กจำนวนมากในการฟื้นฟู นอกจากนี้ ระบบท่อระบายน้ำที่ได้รับความเสียหายจากโคลน หากไม่รีบแก้ไข อาจทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอีกในปีถัดไป.
4. ข้อเสนอเพื่อการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สมบัติ บุญงามอนงค์ ได้เสนอให้มีการสนับสนุนจากรัฐบาลและภาคเอกชนอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านทรัพยากรและงบประมาณ เช่น การจัดหารถขุดขนาดเล็ก และการสนับสนุนอุปกรณ์ซ่อมแซมจากภาคเอกชน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการฟื้นฟูสามารถเสร็จสิ้นได้ภายใน 1 เดือน ช่วยให้ประชาชนกลับเข้าบ้านได้ทันเวลา และลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น การท่องเที่ยว.
5. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
การฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนและองค์กรต่าง ๆ เช่น IKEA และบริษัทก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมบ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภค การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การดูดโคลนจากบ้านเรือน เป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาในสถานการณ์วิกฤต.
สรุป
การจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูเป็นกระบวนการที่ต้องการการประสานงานและทรัพยากรอย่างมาก การฟื้นฟูต้องแข่งกับเวลาเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับเข้าสู่ชีวิตปกติได้โดยเร็ว การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นสิ่งสำคัญในการเร่งรัดกระบวนการฟื้นฟู ทั้งนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.
ที่มา : https://policywatch.thaipbs.or.th/forum/21