ปัญหาน้ำท่วมในเชียงราย: การจัดการและแนวทางแก้ไข
บทนำ
ปัญหาน้ำท่วมเป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับน้ำท่วมอย่างหนักในช่วงฤดูฝน การจัดการและรับมือน้ำท่วมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกภาคส่วนในท้องถิ่น จากการบรรยายของผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ ได้อธิบายถึงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหานี้ไว้อย่างละเอียด
สาเหตุของน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกอธิบายโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ แบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้:
1. ร่องมรสุมหรือร่องความกดอากาศต่ำ
“ร่องมรสุมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝนตกหนักในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน” ร่องมรสุมนี้จะเคลื่อนที่ขึ้นลงในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ชัดเจน ทำให้บางพื้นที่เผชิญกับฝนตกหนักต่อเนื่อง หากร่องมรสุมนี้แช่อยู่ในพื้นที่เชียงรายนาน จะทำให้ฝนตกสะสมเป็นระยะเวลานาน จนน้ำในพื้นที่ไม่สามารถระบายออกได้ทัน เกิดเป็นน้ำท่วมขังและน้ำล้นตลิ่ง
2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
ลมมรสุมที่พัดมาจากฝั่งอันดามันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ “ลมมรสุมนี้จะพัดเอาเมฆฝนจากฝั่งอันดามันเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย เมื่อเมฆฝนมาถึงเชียงราย มันจะถูกผลักขึ้นโดยร่องมรสุม ทำให้เมฆเหล่านี้กลั่นตัวเป็นฝน” ผลจากการที่เมฆถูกยกตัวขึ้นและกลั่นตัวเหนือพื้นที่เชียงรายทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายวัน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่
3. พายุหมุนเขตร้อน
พายุหมุนเขตร้อนจากฝั่งเวียดนามเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฝนตกหนักในพื้นที่ “พายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนมาจากฝั่งเวียดนามจะพัดเข้ามาทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย” เมื่อพายุพัดเข้ามาพร้อมกับลมมรสุมที่พัดจากอันดามัน ฝนตกหนักจะเกิดขึ้นทั้งสองฝั่งของประเทศ ทำให้เชียงรายซึ่งอยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน
4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญ่า ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม “เอลนีโญและลานีญ่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของลมในชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีผลต่อปริมาณฝนในภูมิภาค” ในช่วงที่ปรากฏการณ์ลานีญ่าเกิดขึ้น จะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในเชียงรายได้
“ปัญหาจากสิ่งกีดขวางทางน้ำ” เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ ได้กล่าวถึงในการบรรยาย โดยสิ่งกีดขวางทางน้ำและการรุกล้ำลำน้ำถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ปัญหาน้ำท่วมรุนแรงขึ้นในพื้นที่เชียงราย รายละเอียดปัญหามีดังนี้:
1. สิ่งกีดขวางทางน้ำ
หนึ่งในปัญหาที่พบเจอบ่อยคือ ฝาย ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อยกระดับน้ำสำหรับการเกษตร แต่ก็กลายเป็นสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำในลำน้ำหลัก “ฝายช่วยยกระดับน้ำ แต่ปัญหาคือพื้นที่เชียงรายมีตะกอนจากภูเขาไหลลงมามาก เมื่อตะกอนทับถมอยู่ที่หน้าฝาย ทำให้หน้าตัดลำน้ำแคบลง” เมื่อหน้าตัดของลำน้ำแคบลง น้ำจะถูกกักไว้และไหลไม่ทัน ส่งผลให้ระดับน้ำยกตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนล้นตลิ่งเข้าสู่พื้นที่ชุมชน เกิดน้ำท่วมในเขตเมืองอย่างรุนแรง
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ฝายจะมีประโยชน์ในเรื่องการเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตร แต่หากไม่มีการจัดการและดูแลฝายอย่างถูกต้อง ฝายสามารถกลายเป็นตัวการที่ทำให้เกิดน้ำท่วมได้
2. การรุกล้ำลำน้ำ
การพัฒนาพื้นที่เมืองอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดการรุกล้ำลำน้ำและพื้นที่ระบายน้ำ “บางครั้งเรามองว่าพื้นที่ริมลำน้ำไม่น่าจะมีปัญหาน้ำท่วม จึงไปถมที่หรือสร้างบ้านในเขตลำน้ำ” การถมพื้นที่ใกล้ลำน้ำหรือสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ยื่นลงไปในลำน้ำทำให้หน้าตัดของลำน้ำแคบลง เมื่อน้ำหลากเข้ามา น้ำจะไหลได้ไม่สะดวก ทำให้น้ำยกตัวสูงขึ้นกว่าปกติ จนเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยมีปัญหามาก่อน
3. ปัญหาตลิ่งพัง
นอกเหนือจากฝายและการรุกล้ำลำน้ำ การพังของตลิ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้การระบายน้ำไม่เป็นไปตามปกติ “ตลิ่งที่พังทำให้ไม่สามารถกักน้ำไว้ได้ และน้ำที่ท่วมล้นตลิ่งก็จะไหลเข้าท่วมพื้นที่ใกล้เคียง” เมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงเกินกว่าที่ลำน้ำจะรับไหว ตลิ่งอาจไม่สามารถรับแรงดันจากน้ำได้ ส่งผลให้ตลิ่งพังทลาย ซึ่งทำให้น้ำท่วมขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยากต่อการควบคุม
4. สิ่งปลูกสร้างและถนนที่กีดขวางการระบายน้ำ
ถนน สะพาน และสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่มีการออกแบบให้สอดคล้องกับการระบายน้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วม “สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้สร้างสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ ทำให้น้ำท่วมขังอยู่ในพื้นที่เมื่อฝนตกหนัก” การก่อสร้างโดยไม่ได้คำนึงถึงทิศทางการไหลของน้ำ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นจุดอับน้ำ ส่งผลให้น้ำไม่สามารถระบายออกได้ และเกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่นั้น
มาตรการรับมือน้ำท่วมเป็นหัวข้อที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เชียงราย มาตรการเหล่านี้มีทั้งในระดับภาครัฐและท้องถิ่น โดยสามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยดังนี้:
1. มาตรการของภาครัฐ
ภาครัฐมีการกำหนดนโยบายและมาตรการรับมือน้ำท่วมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยผ่านการประกาศจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ซึ่งออกมาตรการรับมือน้ำท่วมเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ โดยมีมาตรการหลัก ๆ ดังนี้:
- การตรวจสอบและซ่อมแซมคันกั้นน้ำ: หน่วยงานท้องถิ่นต้องตรวจสอบคันกั้นน้ำ ทำนบ และผนังกั้นน้ำว่ามีการซ่อมแซมและเสริมความสูงให้เพียงพอต่อการรับมือน้ำที่หลากเข้ามาในฤดูฝนหรือไม่
- การขุดลอกลำน้ำและกำจัดสิ่งกีดขวาง: หน่วยงานท้องถิ่นต้องจัดการขุดลอกลำน้ำและกำจัดสิ่งกีดขวางที่อาจทำให้น้ำไหลไม่สะดวก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม โดยเน้นลำน้ำในพื้นที่เปราะบาง
- เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ: ระบบระบายน้ำในพื้นที่ต้องมีการขยายขนาดหรือปรับปรุงเพื่อรองรับน้ำฝนที่ไหลเข้าสู่พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมขัง
2. มาตรการระดับท้องถิ่น
นอกจากมาตรการของภาครัฐแล้ว ท้องถิ่นเองก็มีบทบาทสำคัญในการจัดการและเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วม แต่ในหลายกรณียังมีข้อจำกัดในด้านทรัพยากรและบุคลากร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ ได้เน้นถึงความสำคัญของการวางแผนในระดับท้องถิ่นเพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- การวางแผนบริหารจัดการน้ำท่วมในระดับท้องถิ่น: การจัดทำแผนรับมือน้ำท่วมในระดับท้องถิ่นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ท้องถิ่นบางแห่งยังขาดแผนที่เป็นรูปธรรม หรือมีแผนเน้นในช่วงการเกิดภัยเป็นหลัก เช่น การตั้งศูนย์อพยพ การช่วยเหลือประชาชนหลังเกิดภัย แต่ขาดมาตรการป้องกันล่วงหน้า
- การตรวจสอบศักยภาพลำน้ำ: หน่วยงานท้องถิ่นต้องทราบถึงศักยภาพของลำน้ำในพื้นที่ว่าแต่ละลำน้ำสามารถรองรับปริมาณน้ำได้มากน้อยเพียงใด หากน้ำหลากเข้ามาในพื้นที่ จะมีผลกระทบต่อพื้นที่ต่าง ๆ อย่างไรบ้าง
- การตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางทางน้ำ: สิ่งกีดขวางทางน้ำ เช่น ฝาย สิ่งปลูกสร้าง หรือการรุกล้ำลำน้ำต้องได้รับการตรวจสอบและจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม
3. การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการน้ำท่วม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีและเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น:
- ผังน้ำ: เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ศักยภาพของลำน้ำ และระบุถึงพื้นที่ที่อาจเกิดน้ำท่วม ซึ่งจะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถวางแผนป้องกันน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ภาพถ่ายดาวเทียมและเรดาร์: ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมสามารถแสดงถึงปริมาณฝนและพายุที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วมล่วงหน้าและเตรียมตัวได้ดีขึ้น
- แบบจำลองการไหลของน้ำ: แบบจำลองการไหลของน้ำสามารถช่วยในการคาดการณ์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม และช่วยในการวางแผนป้องกันน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ โดยท้องถิ่นสามารถร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาเพื่อใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้ในราคาประหยัด
4. การเตรียมพร้อมหลังเกิดน้ำท่วม
“หลังจากที่น้ำท่วมแล้ว การถอดบทเรียนจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ” การเก็บข้อมูลและการศึกษาสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมในแต่ละปีเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันได้ในอนาคต ท้องถิ่นควรมีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับน้ำ และปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วม เพื่อปรับปรุงแผนการรับมือน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต
ตัวช่วยในการจัดการน้ำท่วม เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ ได้อธิบายถึงเทคโนโลยีและวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เชียงราย โดยเน้นถึงการใช้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วม ตัวช่วยเหล่านี้มีดังนี้:
1. ผังน้ำ (Water Map)
หนึ่งในเครื่องมือที่มีความสำคัญในการจัดการน้ำท่วมคือ ผังน้ำ ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์ศักยภาพของลำน้ำและพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม “ผังน้ำสามารถบอกได้ว่าลำน้ำในพื้นที่ใดมีศักยภาพในการรองรับปริมาณน้ำเท่าไร” ข้อมูลจากผังน้ำจะทำให้ท้องถิ่นสามารถวางแผนจัดการน้ำได้อย่างแม่นยำ และป้องกันน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
ปัจจุบัน ผังน้ำยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่คาดว่าเมื่อเสร็จแล้วจะถูกนำเสนอในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจะสามารถเข้าถึงได้ง่าย และช่วยให้ท้องถิ่นสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมในแต่ละฤดูได้ดีขึ้น
2. แผนที่สิ่งกีดขวางทางน้ำ
“แผนที่สิ่งกีดขวางทางน้ำ เป็นตัวช่วยที่ทำให้เรารู้ว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ที่ไหน และเราจะจัดการกับมันอย่างไร” ข้อมูลจากแผนที่นี้จะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถระบุจุดที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ฝาย หรือสิ่งปลูกสร้างที่ทำให้การไหลของน้ำช้าลง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการวางแผนเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวางเหล่านี้ก่อนที่จะเกิดน้ำท่วม การมีแผนที่สิ่งกีดขวางนี้จะทำให้ท้องถิ่นสามารถเตรียมพร้อมและลดความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนได้อย่างมาก
3. แบบจำลองการไหลของน้ำ (Water Flow Modeling)
แบบจำลองการไหลของน้ำ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ท้องถิ่นสามารถจำลองสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ได้ โดยการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำฝนและการไหลของน้ำในลำน้ำ แบบจำลองนี้สามารถช่วยให้ท้องถิ่นสามารถคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ “แบบจำลองการไหลของน้ำช่วยให้เรารู้ว่า ถ้าฝนตกปริมาณเท่านี้ ลำน้ำจะรับน้ำได้หรือไม่ และน้ำจะท่วมพื้นที่ใด”
เครื่องมือนี้มีทั้งแบบที่ใช้บริการฟรีและแบบที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ท้องถิ่นสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมได้ตามงบประมาณ โดยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ซึ่งสามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและรันแบบจำลองการไหลของน้ำให้กับท้องถิ่นได้ในราคาที่ไม่สูงมาก
4. ภาพถ่ายดาวเทียมและเรดาร์
การใช้ ภาพถ่ายดาวเทียมและเรดาร์ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการติดตามสภาพอากาศและคาดการณ์ปริมาณฝน “กรมอุตุนิยมวิทยามีภาพถ่ายดาวเทียมและเรดาร์ที่แสดงปริมาณฝนและพายุฝนในพื้นที่ต่าง ๆ” ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของสภาพอากาศในอนาคตและเตรียมความพร้อมในการรับมือน้ำท่วมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่มรสุมพาดผ่านจังหวัดเชียงราย การตรวจสอบข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและเรดาร์สามารถบอกให้รู้ถึงทิศทางและปริมาณฝนที่กำลังเคลื่อนเข้ามา ทำให้ท้องถิ่นสามารถเตรียมตัวและวางแผนป้องกันน้ำท่วมได้ดีขึ้น
5. การใช้ผนังกั้นน้ำและทำนบชั่วคราว
ในบางกรณี การใช้ ผนังกั้นน้ำชั่วคราว ก็เป็นวิธีการที่ช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมได้ อย่างไรก็ตาม ผนังกั้นน้ำบางชนิด เช่น กระสอบทราย มักจะมีข้อจำกัดเมื่อเผชิญกับน้ำที่ไหลแรงมาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงศ์พันธุ์ ได้เสนอแนวคิดว่า “เราสามารถใช้เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า เช่น bug well หรือ package flush ในการสร้างผนังกั้นน้ำชั่วคราวได้”
แม้ว่าราคาของเทคโนโลยีเหล่านี้จะสูง แต่ก็มีความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาเทคโนโลยีในท้องถิ่นเพื่อลดต้นทุน โดยสามารถนำนวัตกรรมเหล่านี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อให้สามารถป้องกันน้ำท่วมได้ในราคาประหยัด