การบรรยายของ ผศ.ดร.มงคลกร ศรีวิชัย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เน้นที่ประเด็นการจัดการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในบริบทของน้ำท่วมและภัยพิบัติทางธรรมชาติในท้องถิ่น ภาพรวมของการบรรยายสามารถสรุปได้ดังนี้:
- ปัญหาน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: อาจารย์ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิของน้ำทะเลที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำในภูมิภาค โดยน้ำฝนในประเทศไทยมาจากทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ เช่น ที่บ้านดู่ในจังหวัดเชียงราย และย่านต่าง ๆ ในเมืองเชียงรายที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2538
- การพัฒนาเมืองและผลกระทบต่อการจัดการน้ำ: การขยายตัวของเมือง เช่น การสร้างสนามบินและถนนบายพาส ได้ลดพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ ทำให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่นาและพื้นที่รับน้ำ อาจารย์ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาการพัฒนาเมืองเชียงรายที่มีการจัดการคลองระบายน้ำและการวางระบบป้องกันน้ำท่วม
- การจัดการลุ่มน้ำและการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน: อาจารย์ได้เน้นถึงความสำคัญของการรู้จักลุ่มน้ำในพื้นที่ เพื่อให้การจัดการน้ำท่วมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรู้เส้นทางน้ำ การจัดการน้ำเข้ากับน้ำออกให้สมดุล นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบระบายน้ำที่ช่วยให้เชียงรายพ้นจากปัญหาน้ำท่วมได้
- การบริหารจัดการน้ำในอนาคต: ผศ.ดร.มงคลกรได้กล่าวถึงแนวทางในการจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง โดยเสนอว่าควรมีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยพิบัติ เช่น การใช้แบบจำลองทางอุทกวิทยาและการวางแผนพัฒนาระบบเตือนภัย
- ความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นและนักวิชาการ: การจัดการปัญหาน้ำท่วมจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและนักวิชาการเพื่อพัฒนาโครงการและหาทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน อาจารย์ยังได้กล่าวถึงการสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่นจากงบประมาณภาครัฐและการร่วมกันพัฒนามุมมองเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จ
ปัญหาน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อการจัดการน้ำในพื้นที่ท้องถิ่น ดังนี้:
1. การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำฝน
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในประเทศไทยที่มีความแปรปรวนจากสภาพภูมิอากาศ โดยในบางปี ฝนตกไม่ตามฤดูกาล ส่งผลให้เกิดปัญหาภัยแล้งและในบางปีเกิดน้ำท่วมอย่างรวดเร็ว เช่น ในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน บางปีฝนไม่ตกเลย แต่กลับมีฝนตกหนักในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นสาเหตุของน้ำท่วมเฉียบพลัน
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝนตกอย่างไม่สม่ำเสมอ และยังมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้น้ำฝนที่พัดเข้ามาจากมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียมีปริมาณมากขึ้นในบางช่วง
2. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำ
- น้ำฝนในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจาก 2 ทิศทางหลัก คือ มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงปริมาณฝนในปีนั้นๆ ซึ่งในบางปีที่มีอุณหภูมิสูง จะทำให้เกิดน้ำฝนมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ
- นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบสภาพภูมิอากาศในอดีตกับปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมในเชียงรายช่วงปี พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ โดยผศ.ดร.มงคลกร เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รับน้ำที่ถูกแทนที่ด้วยการพัฒนาเมือง เช่น การสร้างถนน สนามบิน และหมู่บ้านจัดสรร ส่งผลให้พื้นที่เหล่านี้ไม่สามารถทำหน้าที่รองรับน้ำได้อีกต่อไป ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
3. ผลกระทบของการขยายตัวของเมือง
- การพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างสนามบินและถนน ทำให้พื้นที่รับน้ำลดลง พื้นที่ที่เคยเป็นนาและแหล่งรับน้ำถูกแทนที่ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้น้ำท่วมในบริเวณที่เคยเป็นแอ่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น ที่บ้านดู่ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผศ.ดร.มงคลกร ได้กล่าวถึงว่าเคยมีระบบรับน้ำที่ดี แต่ปัจจุบันเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้งเนื่องจากการพัฒนาพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงการจัดการน้ำ
- นอกจากนี้ เขายังได้เน้นถึงการวางท่อระบายน้ำในพื้นที่แทนการขุดลอกคลอง ซึ่งทำให้การระบายน้ำไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ส่งผลให้น้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ที่เคยไม่มีปัญหาน้ำท่วม
4. การแก้ไขปัญหาและแนวทางการจัดการในอนาคต
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการวางแผนจัดการน้ำในอนาคต เนื่องจากปริมาณฝนและความถี่ของน้ำท่วมจะเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีกลไกในการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อวางแผนรับมือเหตุการณ์น้ำท่วมในอนาคต
- เขายังเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เช่น การออกแบบคลองผันน้ำ แก้มลิง และธามน้ำหลาก เพื่อลดผลกระทบของน้ำท่วม นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการสำรวจและบำรุงรักษาระบบท่อระบายน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการน้ำได้ดีขึ้น
5. ความร่วมมือกับชุมชนและภาคประชาชน
- ในการจัดการปัญหาน้ำท่วมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น ผศ.ดร.มงคลกร กล่าวว่าความร่วมมือจากชุมชนและประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยเน้นว่าการจัดการน้ำไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในการสร้างกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
การพัฒนาเมืองและผลกระทบต่อการจัดการน้ำ อย่างละเอียด ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:
1. การพัฒนาเมืองและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่รับน้ำ
- หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมมากขึ้น คือการขยายตัวของเมืองที่ไม่เป็นไปตามหลักการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน พื้นที่ที่เคยเป็นแอ่งน้ำหรือพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติถูกนำมาใช้ในการพัฒนาเมือง เช่น การสร้างถนน สนามบิน และโครงการบ้านจัดสรร ทำให้พื้นที่รับน้ำหายไป ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบริเวณที่ไม่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมมาก่อน
- ตัวอย่างที่อาจารย์ยกขึ้นมาคือพื้นที่ บ้านดู่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเคยมีลักษณะเป็นแอ่งรับน้ำตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันพื้นที่นี้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นชุมชนเมือง มีสนามบินและถนนบายพาสที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้พื้นที่เดิมที่เคยเป็นจุดรับน้ำถูกแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้าง และน้ำที่เคยถูกกักเก็บไว้ในพื้นที่เหล่านี้กลับไหลเข้าสู่พื้นที่ชุมชน ทำให้เกิดน้ำท่วม
2. การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่รองรับการจัดการน้ำ
- อีกประเด็นที่สำคัญคือการวางโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่รองรับการจัดการน้ำท่วมได้ดี เช่น การสร้างถนน สะพาน หรือโครงการบ้านเรือนที่ไม่คำนึงถึงการจัดการน้ำ เมื่อมีน้ำท่วม สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นอุปสรรคในการระบายน้ำ
- ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการสร้างถนนที่ไม่มีระบบระบายน้ำที่ดี ทำให้น้ำที่ท่วมเข้ามาไม่สามารถระบายออกได้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้วางแผนการจัดการน้ำล่วงหน้า
3. การเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางภูมิศาสตร์จากการพัฒนา
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของลักษณะภูมิศาสตร์ที่เกิดจากการพัฒนาเมือง พื้นที่ที่เคยเป็น คลอง หรือ ลำเหมือง สำหรับระบายน้ำถูกแทนที่ด้วยการสร้างท่อใต้ดิน ซึ่งไม่สามารถระบายน้ำได้เท่าที่ควร
- การวางท่อใต้ดินแทนคลองธรรมชาติทำให้การระบายน้ำไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม เพราะท่อระบายน้ำมีข้อจำกัดในเรื่องขนาดและประสิทธิภาพในการระบาย ขณะที่คลองหรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติสามารถปรับตัวตามปริมาณน้ำได้ดีกว่า
- นอกจากนี้ การขาดการบำรุงรักษาท่อระบายน้ำยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในบางพื้นที่ เนื่องจากท่อระบายน้ำมีขนาดไม่เพียงพอต่อการรับน้ำฝนในช่วงฤดูฝน หรือท่ออาจถูกอุดตันจากเศษขยะและสิ่งกีดขวาง
4. กรณีศึกษาการพัฒนาในพื้นที่บ้านดู่ จังหวัดเชียงราย
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของบ้านดู่ ที่เมื่อก่อนเคยเป็นแอ่งน้ำและมีการรับน้ำที่ดี แต่หลังจากการขยายตัวของเมือง โดยเฉพาะการก่อสร้างสนามบิน ถนน และโครงการบ้านจัดสรร ทำให้พื้นที่รับน้ำลดลงอย่างมาก
- การพัฒนาที่เกิดขึ้นทำให้พื้นที่นาที่เคยเป็น wetland (พื้นที่ชุ่มน้ำ) กลายเป็นพื้นที่ที่ดินจัดสรร ทำให้ไม่มีที่รองรับน้ำฝนที่ตกลงมา และน้ำเหล่านี้จึงไหลเข้าสู่พื้นที่ชุมชนจนเกิดน้ำท่วมในบางปีที่มีปริมาณฝนมากกว่าปกติ
- อาจารย์ยังได้กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาเมืองในอนาคต โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยทำหน้าที่รับน้ำ ควรมีการวางแผนการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับระบบการจัดการน้ำ
5. การแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เมืองที่พัฒนาแล้ว
- การพัฒนาเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากความต้องการทางเศรษฐกิจและความเจริญเติบโตของชุมชน แต่สิ่งที่ควรพิจารณาคือการจัดการผลกระทบจากการพัฒนาเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการจัดการน้ำได้ดียิ่งขึ้น
- ตัวอย่างหนึ่งที่ได้ผลคือการพัฒนาระบบคลองระบายน้ำในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นโครงการที่ทำให้พื้นที่นี้ไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมอีกหลังจากมีการพัฒนาระบบระบายน้ำที่ดีขึ้น
- การพัฒนาเมืองจำเป็นต้องมีการจัดการพื้นที่รับน้ำอย่างเหมาะสม และควรมีการใช้ แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อวางแผนล่วงหน้าสำหรับการจัดการน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว
6. การประสานงานกับท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การแก้ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากการพัฒนาเมืองจำเป็นต้องมีการประสานงานระหว่างชุมชนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนการพัฒนาเมืองให้สอดคล้องกับระบบการจัดการน้ำ
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้เสนอว่า หน่วยงานท้องถิ่นควรทำงานร่วมกับนักวิชาการในการวางแผนและพัฒนาโครงการต่างๆ ที่จะช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วม เช่น การสร้างแก้มลิงและคลองผันน้ำเพื่อจัดการน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน
7. ข้อเสนอในการจัดการผลกระทบจากการพัฒนาเมือง
- การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเมืองในอนาคตควรคำนึงถึงการจัดการน้ำเป็นลำดับแรก โดยการสร้างระบบระบายน้ำที่เพียงพอ และรักษาพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด
- อาจารย์ยังเสนอให้มีการ ศึกษาและใช้เทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์สำรวจท่อระบายน้ำ เพื่อตรวจสอบความสามารถในการระบายน้ำของระบบท่อระบายน้ำที่สร้างขึ้น และปรับปรุงระบบที่มีปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การจัดการลุ่มน้ำและการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน โดยรายละเอียดสำคัญสรุปได้ดังนี้:
1. การจัดการลุ่มน้ำ
- การจัดการลุ่มน้ำเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการน้ำในท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม ผศ.ดร.มงคลกร ได้กล่าวถึง ลุ่มน้ำกก ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
- การจัดการลุ่มน้ำต้องอาศัยความเข้าใจใน โครงสร้างทางธรรมชาติของลุ่มน้ำ เช่น เส้นทางน้ำที่ไหลผ่านแต่ละพื้นที่ การจัดการน้ำฝนและน้ำผิวดิน รวมถึงการวางแผนการระบายน้ำออกจากพื้นที่ในกรณีที่มีน้ำฝนมากเกินไป
- อาจารย์ได้เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญคือการเข้าใจ ความเชื่อมโยงระหว่างลุ่มน้ำต่างๆ ซึ่งลุ่มน้ำแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน เช่น น้ำที่ท่วมเชียงรายจะไหลลงสู่น้ำโขง แต่หากน้ำท่วมในจังหวัดอื่น เช่น เชียงใหม่ น้ำจะไหลลงไปที่เขื่อนภูมิพลก่อน ดังนั้นการวางแผนจัดการน้ำต้องคำนึงถึงแผนผังลุ่มน้ำทั้งหมด เพื่อให้สามารถคาดการณ์และจัดการน้ำได้อย่างถูกต้อง
2. การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน
- โครงสร้างพื้นฐานในการจัดการน้ำ เช่น คลองระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ และระบบป้องกันน้ำท่วมอื่นๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้พื้นที่สามารถรับมือกับปริมาณน้ำที่มากขึ้นได้ อาจารย์ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สม่ำเสมอ
- การระบายน้ำผ่านท่อระบายน้ำมีข้อจำกัด เนื่องจากท่อมีขนาดจำกัดและอาจเกิดการอุดตันได้ง่าย ซึ่งหากไม่มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาท่อระบายน้ำเป็นประจำ จะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการพัฒนาเมืองที่รวดเร็ว
- การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานควรเริ่มจาก การตรวจสอบและล้างท่อระบายน้ำ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจสอบสภาพคลองและระบบระบายน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางที่ทำให้น้ำไหลได้ช้าลง การขุดลอกคลองและการขยายขนาดท่อระบายน้ำเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการในพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง
3. การใช้เทคโนโลยีและการวางแผนล่วงหน้า
- ในการจัดการลุ่มน้ำและการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน ผศ.ดร.มงคลกร ได้เสนอการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น หุ่นยนต์สำรวจท่อระบายน้ำ เพื่อให้สามารถตรวจสอบสภาพภายในท่อและคลองระบายน้ำได้อย่างละเอียด และประเมินความสามารถในการระบายน้ำ ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
- นอกจากนี้ การใช้ แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็เป็นอีกแนวทางที่สำคัญในการวางแผนจัดการล่วงหน้า โดยเฉพาะการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่วมในอนาคต แบบจำลองนี้จะช่วยให้สามารถวางแผนโครงการขนาดใหญ่ เช่น คลองผันน้ำ แก้มลิง และธามน้ำหลาก ได้อย่างเหมาะสม
4. การประสานงานระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชน
- ผศ.ดร.มงคลกร เน้นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนในการจัดการลุ่มน้ำ โดยต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับลุ่มน้ำและโครงสร้างพื้นฐานได้รับการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม
- ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการรายงานปัญหา เช่น การอุดตันของท่อระบายน้ำ หรือการเกิดน้ำท่วมที่ไม่สามารถระบายได้ทันเวลา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
5. กรณีศึกษาและการปรับปรุงการจัดการน้ำ
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของการจัดการน้ำในเชียงราย โดยกล่าวถึงการจัดการลุ่มน้ำกก ที่มีการสร้างคลองผันน้ำและระบบแก้มลิงที่ช่วยลดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างธามน้ำหลากเพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำและป้องกันน้ำท่วมในตัวเมือง
- อาจารย์ยังได้กล่าวถึงกรณีการจัดการน้ำที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งมีการพัฒนาระบบระบายน้ำที่ดี ทำให้ปัญหาน้ำท่วมลดลง แม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะเคยประสบปัญหาน้ำท่วมในอดีต
- กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การวางแผนการจัดการน้ำที่ดีต้องเริ่มจากการเข้าใจลุ่มน้ำและการวางโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับน้ำได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการขยายตัวของเมือง
6. การเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ
- ผศ.ดร.มงคลกร ได้เสนอให้มีการ เตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ โดยการสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการมีแผนการรับมือที่ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้ชุมชนสามารถเตรียมตัวได้ทันเวลาในกรณีที่เกิดน้ำท่วม
- นอกจากนี้ อาจารย์ยังเน้นว่าการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม
การบริหารจัดการน้ำในอนาคต โดยเน้นถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการจัดการน้ำในอนาคตสามารถสรุปได้ดังนี้:
1. การคาดการณ์และการเตรียมพร้อมสำหรับฤดูฝนและฤดูแล้ง
- ประเทศไทยมีสองฤดูหลักที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ คือ ฤดูเปียก (Wet Season) และ ฤดูแห้ง (Dry Season) ซึ่งในแต่ละฤดูจะมีลักษณะการจัดการน้ำที่แตกต่างกัน
- ในฤดูฝน จะมีน้ำปริมาณมาก ดังนั้นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการจัดการน้ำท่วม โดยการสร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เช่น คลองผันน้ำ และแก้มลิง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมขังในชุมชนและเมืองใหญ่
- สำหรับฤดูแล้งที่น้ำมีน้อย การวางแผนบริหารจัดการน้ำต้องคำนึงถึงการกักเก็บน้ำในช่วงที่มีปริมาณน้ำมาก เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในช่วงที่น้ำขาดแคลนได้ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือการใช้ระบบการผันน้ำจากแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ไปยังพื้นที่ที่ขาดแคลน
2. การวางแผนเชิงรุกผ่านการใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศ
- อาจารย์มงคลกร ได้เน้นถึงความสำคัญของการใช้ แบบจำลองสภาพภูมิอากาศ เพื่อคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่วมในอนาคต แบบจำลองเหล่านี้จะช่วยให้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝน ซึ่งจะมีความผันผวนมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ด้วยการใช้ข้อมูลจากแบบจำลอง สามารถวางแผนการจัดการน้ำในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำ หรือการจัดการพื้นที่รับน้ำที่มีความเสี่ยงสูง
3. การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการน้ำ
- ในอนาคต การใช้ เทคโนโลยี จะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาทิ การใช้ หุ่นยนต์สำรวจท่อระบายน้ำ เพื่อตรวจสอบสภาพของระบบระบายน้ำว่ามีความสามารถในการรองรับน้ำได้มากเพียงใดและมีปัญหาในการระบายน้ำหรือไม่
- นอกจากนี้ การใช้ เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำและปริมาณน้ำฝน จะช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการน้ำที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีน้ำหลากหรือฝนตกหนัก
4. การมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคประชาชน
- การจัดการน้ำในอนาคตต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ ชุมชน และ ภาคประชาชน ที่ควรมีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผนและจัดการน้ำในพื้นที่ของตนเอง
- อาจารย์มงคลกร ได้กล่าวว่า ประชาชนมักมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับแหล่งน้ำในท้องถิ่น แต่ขาดการมีส่วนร่วมในการวางแผนจัดการน้ำ ดังนั้น การส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทในการจัดการทรัพยากรน้ำจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนมากขึ้น
- นอกจากนี้ ควรมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการน้ำและการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างประหยัด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์น้ำขาดแคลนในอนาคต
5. การบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
- การบริหารจัดการน้ำในอนาคตต้องเป็นความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ และ ภาคเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างระบบระบายน้ำ คลองผันน้ำ และการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำ
- นอกจากนี้ การเขียนโครงการเพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการ Thai Water Plan ซึ่งสามารถช่วยให้ท้องถิ่นมีงบประมาณในการพัฒนาและปรับปรุงระบบการจัดการน้ำให้ดีขึ้น
6. การวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการป้องกันน้ำท่วม
- อนาคตของการบริหารจัดการน้ำจะต้องพึ่งพาการวาง โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- อาจารย์ได้กล่าวถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น คลองระบายน้ำ แก้มลิง และธามน้ำหลาก ที่สามารถรองรับปริมาณน้ำที่มากในช่วงฤดูฝน และป้องกันน้ำท่วมได้ นอกจากนี้ การดูแลและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยต้องมีการตรวจสอบและซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม เช่น ระบบเตือนภัย และ การวางแผนป้องกันภัยพิบัติ ก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วม
7. การสร้างระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
- อาจารย์มงคลกร ได้เน้นถึงการสร้างระบบบริหารจัดการน้ำที่ ยั่งยืน โดยการบูรณาการทั้งการจัดการน้ำในฤดูฝนและฤดูแล้ง และการพัฒนาระบบการจัดการน้ำที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
- การจัดการน้ำในอนาคตต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามสถานการณ์ เช่น การเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อใช้ในฤดูแล้ง และการผันน้ำไปยังพื้นที่ที่ขาดแคลน ในขณะเดียวกัน ต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการใช้น้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำในทุกภาคส่วน