มองเชียงรายจากนอกโลก: เข้าใจฝุ่นหมอกควันผ่านสายตาดาวเทียม
โดย ผศ.ดร.สุรพล วรภัทราทร
ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิจัยและปฏิบัติการเพื่อลดปัญหาการเกิดไฟป่าหมอกควัน
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
เมื่อฤดูหมอกควันมาเยือนเชียงราย ภาพของภูเขาที่เลือนลางและอากาศที่ขมุกขมัวกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เบื้องหลังของปัญหานี้มีมิติลึกซึ้งกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็น และในวันนี้ ผศ.ดร.สุรพล วรภัทราทร หรือ “อาจารย์ก๊อต” จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จะพาเราก้าวข้ามพื้นดิน สู่ห้วงอวกาศ เพื่อเข้าใจปัญหาฝุ่นควันในมุมมองที่กว้างไกลกว่าที่เคย ผ่านเทคโนโลยี “ดาวเทียม”
จากเครื่องวัดฝุ่น สู่การเฝ้าระวังผ่านดาวเทียม
การตรวจวัดฝุ่นแบบดั้งเดิมให้ข้อมูลเฉพาะจุดและทันเวลา แต่กลับมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนจุดวัด ความแม่นยำในระยะยาว และการปิดเครื่องในบางช่วงเวลา ดาวเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่เปิดโลกการเฝ้าระวังหมอกควันให้กว้างขึ้น และแม่นยำขึ้นกว่าที่เคย
ดาวเทียม: ตาวิเศษจากฟ้าที่มองเห็นทุกอย่าง
ด้วยการใช้ ดาวเทียม Himawari 8 และ 9 จากญี่ปุ่น ซึ่งสามารถเฝ้าสังเกตภูมิภาคเอเชียได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เราสามารถตรวจสอบค่าฝุ่น PM2.5 ได้แบบเรียลไทม์ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอำเภอเมืองหรือหมู่บ้านบนดอย
พร้อมกันนี้ ยังมีการใช้ดาวเทียม VIIRS ของ NASA เพื่อระบุจุดความร้อนและตรวจสอบร่องรอยการเผาไหม้ หรือที่เรียกว่า Burn Scar ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการติดตามการเกิดไฟป่า และประเมินผลกระทบจากกิจกรรมการเผาในภาคเกษตร
Burn Scar: หลักฐานบนดินที่เห็นจากฟ้า
Burn Scar ไม่ใช่เพียงภาพเผาไหม้หลังเหตุการณ์ แต่มันคือร่องรอยของปัญหาที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ เชียงรายได้นำข้อมูลนี้ไปใช้วางแผนลดพื้นที่เผา และเป็นเครื่องมือในการติดตามนโยบายอย่างละเอียด
ปัญหาที่ข้ามพรมแดน
หมอกควันไม่ได้หยุดแค่เขตแดนประเทศ อาจารย์ก๊อตชี้ให้เห็นว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ก็มีรูปแบบการเผาที่คล้ายกัน ศูนย์วิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงร่วมมือกับ GISTDA และสถาบันต่างชาติ พัฒนาโมเดล AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและร่วมมือแก้ไขในระดับภูมิภาค
แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?
แม้ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เราทุกคนก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาได้:
- ตรวจสอบค่าฝุ่นผ่านแอป เช่น “เช็คฝุ่น” ของ GISTDA
- หากค่าฝุ่นสูง ให้สวมหน้ากาก N95
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และเตือนคนรอบข้างให้ตระหนักรู้
มองไกล เพื่อแก้ไขอย่างแม่นยำ
เทคโนโลยีดาวเทียมเปลี่ยนวิธีคิดและการรับมือกับปัญหาหมอกควันจาก “รู้เมื่อเกิด” สู่ “เข้าใจและป้องกัน” หากเราร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน ท้องฟ้าเชียงรายที่สดใสจะไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คืออนาคตที่เราสร้างร่วมกันได้
เมื่อไฟเป็นส่วนหนึ่งของวิถี: เรื่องเล่าจากชุมชนห้วยหินลาดใน
โดย ชัยธวัช จอมติ
ตัวแทนชุมชนบ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
ในมุมมองของคนทั่วไป “ไฟ” มักถูกมองว่าเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 และการทำลายป่า แต่สำหรับชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) แห่งชุมชนห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย “ไฟ” กลับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในวิถีชีวิต เป็นสิ่งที่ถูกใช้อย่างมีระบบ เป็นภูมิปัญญาที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนในการรักษาป่ามานานนับร้อยปี
บทความนี้จะถ่ายทอดมุมมองและประสบการณ์จาก ชัยธวัช จอมติ หรือ พี่ทศ ผู้เป็นตัวแทนชุมชนที่ลุกขึ้นมาบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับวิถีการใช้ไฟของชาวปกาเกอะญอ ที่ยังคงสืบทอดมาถึงทุกวันนี้
ไฟไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ถ้าใช้ด้วยความเข้าใจ
พี่ทศเล่าว่า ชาวบ้านห้วยหินลาดในทำ “ไร่หมุนเวียน” ซึ่งแตกต่างจาก “ไร่เลื่อนลอย” โดยสิ้นเชิง ไร่หมุนเวียนเป็นระบบเกษตรกรรมที่มีความยั่งยืนสูง ชุมชนมีแปลงเกษตรจำนวนหนึ่ง และผลัดเปลี่ยนใช้เพียงปีละหนึ่งแปลง โดยแปลงที่ไม่ได้ใช้จะปล่อยให้ป่าฟื้นตัวในระยะเวลา 6-7 ปี ทำให้ป่าได้พักฟื้นคืนสภาพกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
การใช้ไฟในระบบไร่หมุนเวียนไม่ใช่การเผาทำลายป่า แต่เป็นการเผาแบบมีหลักการที่ชัดเจนและควบคุมได้ เรียกว่า “ไฟดี” หรือ “ไฟจำเป็น” ซึ่งการเผาจะดำเนินการในช่วงหลังสงกรานต์ที่ใกล้กับช่วงฝนตกมากที่สุด เพื่อให้ไฟไหม้อย่างรวดเร็วและหมดจด ไม่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 มากนัก
เหตุผลที่ไร่หมุนเวียนต้องใช้ไฟ
พี่ทศอธิบายว่า ในไร่หมุนเวียนจะมีใบไม้และกิ่งไม้ที่ทับถมอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมากหลังจากปล่อยไว้ 6-7 ปี ใบไม้ที่สะสมกันเหล่านี้มีสภาพเป็นกรด หากปล่อยไว้นานๆ ดินจะไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ชุมชนจึงจำเป็นต้องใช้ไฟในการเผาเพื่อปรับสภาพดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีใดๆ เลย
กระบวนการเผาก็มีการจัดการที่เข้มงวด ได้แก่:
- มีการทำแนวกันไฟถึง 2 ชั้นรอบแปลง
- มีทีมควบคุมไฟที่ประกอบด้วยชาวบ้านประมาณ 30-40 คน ต่อการเผาหนึ่งแปลง
- ใช้เทคนิคการเผาจากด้านบนของพื้นที่ลงมาเพื่อลดการลุกลาม
ด้วยการเผาแบบนี้ ไฟจะดับสนิทภายในเวลา 20-40 นาทีเท่านั้น
วิถีการใช้ไฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ความรู้จากการสังเกตสภาพธรรมชาติ และภูมิปัญญาในการฟังเสียงแมลงอย่าง “จักจั่น” ถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเผา โดยเมื่อจักจั่นชนิดหนึ่งเริ่มร้อง จะเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนจะตกในอีกไม่เกิน 7 วัน นี่คือองค์ความรู้พื้นถิ่นที่ชุมชนใช้ร่วมกับข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาเพื่อการจัดการไฟอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ไฟของชาวห้วยหินลาดใน ไม่เพียงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ และเป็นพื้นที่อนุบาลสัตว์ป่าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งด้วย
ความท้าทายจากนโยบายรัฐและความไม่เข้าใจ
แม้จะมีระบบการจัดการที่ดี แต่ชุมชนก็ยังเผชิญกับความไม่เข้าใจจากภายนอกที่กล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของฝุ่น PM2.5 นโยบายรัฐที่ห้ามเผาอย่างเข้มงวดและเหมารวม ทำให้ชาวบ้านหลายคนได้รับผลกระทบ บางครั้งถึงขั้นถูกดำเนินคดีทั้งที่ใช้ไฟอย่างถูกวิธีและเหมาะสม
พี่ทศจึงเรียกร้องให้ภาครัฐมีการผ่อนปรนนโยบายหรือสร้างข้อยกเว้นเฉพาะสำหรับพื้นที่ที่มีวิถีการใช้ไฟอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาองค์ความรู้ของชนเผ่าเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไป
ไร้จุดความร้อนในพื้นที่เกษตร: สร้างรายได้จากการไม่เผา
โดย ลิตร สมบูรณ์
ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “กลุ่มคืนสู่ธรรมชาติ” อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
เมื่อพูดถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 หลายคนมักนึกถึงการเผาในภาคเกษตรกรรมที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นควันในพื้นที่ภาคเหนือ แต่ในพื้นที่เกษตรของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “คืนสู่ธรรมชาติ” อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ภาพที่เห็นกลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่สามารถจัดการพื้นที่เกษตรโดยไม่มีการเผา จนเรียกได้ว่าเป็น “ไร้จุดความร้อน” หรือ Hotspot อย่างแท้จริง
เปลี่ยนจาก “เผาทิ้ง” สู่ “สร้างรายได้”
ลิตร สมบูรณ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคืนสู่ธรรมชาติ เล่าว่าเดิมทีเกษตรกรในพื้นที่แม่สรวยนิยมทำสวนลำไยแบบดั้งเดิม หลังจากเก็บผลลำไยเสร็จ กิ่งและใบที่เหลือจากการแต่งกิ่งมักถูกเผาทิ้ง จนทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควันในพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง
แต่กลุ่มคืนสู่ธรรมชาติเลือกวิธีที่ต่างออกไป คือแทนที่จะเผาทิ้ง กลับนำกิ่งลำไยที่เหลือจากการแต่งกิ่งเหล่านั้น มาแปรรูปให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้อย่างถ่านอัดแท่ง และน้ำส้มควันไม้ ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดี โดยเฉพาะถ่านอัดแท่ง ที่มีความต้องการสูงจากร้านอาหารในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง
ผลิตภัณฑ์จากสวนลำไย ที่มากกว่าผลลำไย
ลิตรอธิบายเพิ่มเติมว่า กลุ่มคืนสู่ธรรมชาติไม่เน้นขายผลลำไยเป็นหลัก แต่เน้นใช้พื้นที่สวนลำไยให้เกิดประโยชน์สูงสุดตั้งแต่ใต้ดินจนถึงยอดต้นไม้ เช่น
- ใต้ดิน ปลูกพืชสมุนไพรอย่างข่า ขมิ้น สร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร
- ระดับพื้นดิน เลี้ยงผึ้งโพรงป่า เพิ่มรายได้จากน้ำผึ้งแท้คุณภาพสูง
- ระดับต้นไม้ กิ่งลำไยที่ตัดแต่งถูกนำไปทำถ่านอัดแท่งและน้ำส้มควันไม้ที่มีคุณภาพสูง และขายดีจนต้องส่งออกไปยังห้างสรรพสินค้า
จากระบบที่คิดอย่างครบวงจรนี้เอง ทำให้เกษตรกรในกลุ่มสามารถมีรายได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องรอเฉพาะช่วงเก็บเกี่ยวลำไยเหมือนที่ผ่านมา
พืชทางเลือก: ตะไคร้ตัดใบ โกโก้ และกล้วยแปรรูป
นอกจากสวนลำไยแล้ว กลุ่มคืนสู่ธรรมชาติยังส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟเลย เช่น
- ตะไคร้ตัดใบ สร้างรายได้ทุก 20 วัน ส่งขายโรงงานผลิตชาสมุนไพรและเครื่องสำอาง โดยไม่ต้องเผาเมื่อหมดอายุ เพียงไถกลบก็เพียงพอ
- โกโก้ พืชเศรษฐกิจที่มาแรงและมีตลาดรองรับชัดเจน สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องถึง 30-40 ปี ไม่ต้องเผาวัสดุเหลือทิ้ง เนื่องจากเปลือกโกโก้สามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่นได้
- กล้วยเบอร์ช้าง กล้วยที่เคยราคาถูก นำมาแปรรูปเป็นแป้งกล้วยแห้ง ส่งขายตลาดสุขภาพและเครื่องสำอาง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพืชที่กลุ่มคืนสู่ธรรมชาติแนะนำให้เกษตรกรปลูก เพราะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และที่สำคัญคือไม่ก่อให้เกิดจุดความร้อนจากการเผาในพื้นที่เกษตร
หัวใจสำคัญคือ “แปรรูปได้ รายได้ยั่งยืน”
ลิตรทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทำให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการเผา ไปสู่ระบบเกษตรยั่งยืนได้ก็คือ “การมีรายได้ที่ดีกว่า” ซึ่งรายได้นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรสามารถ “แปรรูป” สินค้าเกษตรให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการ
ในวันนี้กลุ่มคืนสู่ธรรมชาติได้พิสูจน์แล้วว่า การจัดการพื้นที่เกษตรแบบไม่เผานั้นเป็นไปได้จริง และสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกร ทั้งยังช่วยลดปัญหาฝุ่นควันได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
นี่คือบทเรียนจากแม่สรวย ที่ยืนยันว่าเราสามารถอยู่กับธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้ โดยไม่ต้องเผาเลยแม้แต่จุดเดียว
“ทำความเข้าใจฝุ่นข้ามแดน”: วิทยาศาสตร์ การเมือง และทางออกที่ยังต้องร่วมมือ
โดย ผศ.นิอร สิริมงคลเลิศกุล
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ฝุ่นข้ามแดนคืออะไร ทำไมเราต้องใส่ใจ?
เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 ขั้นวิกฤตทุกปี แม้จะมีจำนวนจุดความร้อน หรือที่เรียกว่าฮอตสปอต (Hotspot) ในจังหวัดเองค่อนข้างน้อย แต่คุณภาพอากาศกลับเลวร้ายลงต่อเนเนื่องทุกปี จึงเกิดคำถามสำคัญว่าแท้จริงแล้วฝุ่นเหล่านี้มาจากที่ไหนกันแน่?
การวิจัยที่เผยให้เห็นความจริง
ผศ.นิอร สิริมงคลเลิศกุล นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลวิทยาศาสตร์ผ่านดาวเทียมระบบ VIIRS ย้อนหลังเป็นระยะเวลา 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2019-2023) โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจุดฮอตสปอตกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ชายแดนของสามประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา และลาว
จากข้อมูลที่ได้พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ ทั้งสามประเทศมีพฤติกรรมการเผาที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นช่วงที่พบฮอตสปอตสูงที่สุด และมีรูปแบบซ้ำเดิมแทบทุกปี จุดที่เกิดการเผาก็ล้วนอยู่ในบริเวณเดิมๆ ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรมบนที่สูง
พบการเผาในประเทศเพื่อนบ้านแบบชัดๆ
จากการลงพื้นที่สำรวจของทีมวิจัยในประเทศลาว พบว่าพื้นที่เผาส่วนใหญ่อยู่ในป่าเต็งรัง ป่าไม้สัก และพื้นที่เกษตรกรรม เช่น พื้นที่ปลูกข้าวโพดและมันสำปะหลัง ส่วนในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พบการทำไร่เลื่อนลอยและการเผาเพื่อปลูกข้าวและข้าวโพดจำนวนมาก ส่วนในประเทศไทยเอง โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย จุดเผาส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นพื้นที่ที่เคลียร์ไว้เพื่อปลูกข้าวโพด ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ไฟในเกษตรกรรมและวิกฤตฝุ่นในพื้นที่ภาคเหนือของไทย
ผลกระทบจาก PM2.5 ที่เกินกว่าจะมองข้าม
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศทั่วโลกประมาณ 7 ล้านคน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราสูงเป็นพิเศษ ในประเทศไทยเอง มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเนื่องจากมลพิษทางอากาศไม่ต่ำกว่า 30,000 รายต่อปี ฝุ่น PM2.5 ขนาดเล็กมากเหล่านี้เมื่อถูกสูดเข้าสู่ร่างกาย จะไม่สามารถขับออกมาได้หมดและวนเวียนสะสมอยู่ในร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงในระยะยาวได้
นโยบายแก้ปัญหาฝุ่น: ถึงเวลาจัดการตรงจุด
แม้ว่าภาครัฐได้พยายามออกนโยบายหลากหลายเพื่อรับมือกับปัญหาฝุ่น แต่ ผศ.นิอร ระบุว่า มาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถจัดการที่ต้นเหตุได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะปัญหาจากฝุ่นข้ามแดนที่มีความซับซ้อน เพราะมักจะโยนภาระไปให้เกษตรกรที่ต้องแบกรับมาตรการห้ามเผา โดยที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นต้นทาง เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หรือบริษัทที่รับซื้อพืชผลทางการเกษตรเพื่อการส่งออก ยังไม่เคยถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม
ผศ.นิอร เสนอแนวคิด “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” (Polluter Pays Principle) ว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องควรถูกนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการนี้ รวมถึงเสนอให้มีการขึ้นทะเบียนพื้นที่ที่ใช้ไฟอย่างถูกต้องตามวัฒนธรรมและวิถีชีวิต เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
พ.ร.บ.อากาศสะอาด: ความหวังใหม่หรือแค่ความฝันบนกระดาษ?
ปัจจุบันมีการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ แต่ ผศ.นิอร กลับมองว่านี่ยังเป็นเพียง “ความหวังบนกระดาษ” ที่ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจ รัฐบาล ภาคประชาชน และคนรุ่นใหม่ ในการขับเคลื่อนให้กลไกต่างๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ
บทบาทภาคประชาชน และศิลปะในการขับเคลื่อนปัญหาฝุ่น
การเคลื่อนไหวของภาคประชาชน เช่น สภาลมหายใจ หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้สื่อศิลปะต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าจับตาและมีความสำคัญอย่างมาก ผศ.นิอร เห็นว่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนไม่ควรหยุดอยู่แค่การสร้างการรับรู้เท่านั้น แต่ต้องผลักดันไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมด้วย
ฝุ่นกับเด็ก: ส่งผลและรับมืออย่างไร?
โดย สุนีย์ เชื้อเจ็ดตน
โรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่ จ.เชียงราย
ปัญหาฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่แค่เรื่องของอากาศเสียที่ทำให้เราหายใจลำบากหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว ฝุ่นยังหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ เสียอิสระในการเล่น และเสียการเติบโตที่มีคุณภาพไปอย่างน่าเสียดาย
สุนีย์ เชื้อเจ็ดตน หรือ อาจารย์แม่ จากโรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่ จังหวัดเชียงราย จะมาแบ่งปันประสบการณ์จากสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ในโรงเรียน รวมถึงแนวทางที่ทางโรงเรียนใช้รับมือกับปัญหานี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าฝุ่น PM2.5 กระทบต่อเด็กอย่างรุนแรงและลึกซึ้งกว่าที่เราคิดไว้มาก
เมื่อฝุ่นพรากวัยเด็ก
อาจารย์แม่เล่าว่า แม้โรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่จะมีมาตรการที่ดีในการรับมือกับฝุ่น เช่น มีห้องเรียนติดเครื่องกรองอากาศ มีเครื่องวัดฝุ่นที่เรียกว่า “ยักษ์ขาว” ให้นักเรียนสามารถตรวจสอบค่าฝุ่นเองได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เด็กๆ สูญเสียไปอย่างแท้จริงคือ อิสรภาพในการเล่นและเรียนรู้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาการตามวัยของเด็ก
การเล่นไม่ใช่เพียงกิจกรรมสนุกๆ เท่านั้น แต่คือการสร้างทักษะสำคัญของชีวิต เช่น ความกล้าหาญ การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเด็กๆ ไม่สามารถออกไปเล่นข้างนอกได้ องค์ประกอบเหล่านี้จึงหายไปพร้อมกับฝุ่นที่ปกคลุมพื้นที่
“ล็อกมง” : เมื่อชีวิตถูกฝุ่นล็อกไว้
เด็กๆ โรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่มีคำศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “ล็อกมง” ซึ่งเป็นคำที่สะท้อนความรู้สึกของพวกเขาเมื่อเห็นค่าฝุ่นสูง เด็กๆ จะพูดกันว่า “วันนี้ล็อกมงอีกแล้ว” หมายถึงพวกเขาถูก “ล็อก” ไว้ ไม่สามารถออกไปสนามเล่นหรือทำกิจกรรมข้างนอกได้ นี่เป็นคำที่เด็กๆ ใช้อธิบายความรู้สึกว่าเขาสูญเสียอิสระในชีวิตไปมากแค่ไหน เพราะฝุ่นที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
แนวทางรับมือของโรงเรียน
โรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่ได้จัดหลักสูตร “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” เพื่อให้เด็กมีความเข้าใจและตระหนักถึงวิธีป้องกันตัวเองจาก PM2.5 เด็กๆ เรียนรู้การติดตามคุณภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชันและเครื่องวัดค่าฝุ่นประจำโรงเรียน รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเมื่อฝุ่นสูงจนอยู่ในระดับอันตราย
อาจารย์แม่เล่าว่า นักเรียนที่นี่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองสูงมาก เมื่อเห็นค่าฝุ่นขึ้นสูง เด็กๆ จะเข้าห้องเรียนโดยอัตโนมัติ แม้ไม่มีครูไปบอกหรือเรียก ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ โรงเรียนอื่นๆ อีกจำนวนมากยังไม่ได้นำหลักสูตรเช่นนี้ไปใช้ ทำให้เด็กอีกมากมายยังไม่ได้รับความรู้ที่จำเป็นในการป้องกันตนเอง
จากโรงเรียน สู่ครอบครัว และชุมชน
โรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังขยายองค์ความรู้นี้ไปยังครอบครัวและชุมชนรอบๆ ด้วย นักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้จากโรงเรียนได้นำความรู้ไปสื่อสารกับครอบครัว ชุมชน และยังพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างมากขึ้น
อาจารย์แม่เรียกร้องว่า ถึงเวลาแล้วที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องบรรจุเรื่องนี้ไว้ในหลักสูตรการศึกษาอย่างจริงจัง เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้นรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้าง เด็กทุกคนควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเอง และเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออกที่ยั่งยืนกับปัญหานี้
เสียงจากเด็ก: “หนูขอลมหายใจที่ไร้ฝุ่น”
ข้อความจากหนังสือที่เด็กๆ โรงเรียนเชียงแสนอาคาเดมี่เขียนขึ้นเอง ระบุชัดเจนถึงความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาว่า:
“ใครก็ได้ หนูขอลมหายใจที่ไร้ฝุ่น”
นี่คือเสียงสะท้อนจากเด็กๆ ที่ต้องการให้ผู้ใหญ่ทุกฝ่ายหันมาใส่ใจ และร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่แก้ไขเฉพาะหน้า แต่ควรผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน เพื่อที่วันหนึ่ง เด็กๆ จะไม่ต้องเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นอีกต่อไป