พลิกศักยภาพเชียงราย: จากชายขอบสู่ประตูยุทธศาสตร์แห่งล้านนา บทบันทึกในรอยเสียงของ ศ. ดร.สุภางค์ จันทวานิช

พลิกศักยภาพเชียงราย: จากชายขอบสู่ประตูยุทธศาสตร์แห่งล้านนา บทบันทึกในรอยเสียงของ ศ. ดร.สุภางค์ จันทวานิช

เช้าตรู่ปลายฝน ต้นหนาว หมอกบางลอยเลียทิวเขาเชียงราย เหมือนม่านขาวที่คอยปกปิดและเผยให้เห็นทีละเสี้ยวของเมืองชายแดนแห่งนี้ ผู้คนเดินตลาดริมโขงเงียบ ๆ คำพูดสั้น ๆ ระหว่างแม่ค้าและลูกค้าดังก้องเหนือเสียงคลื่นน้ำ  เสียงที่ย้ำเตือนว่า เชียงรายคือพื้นที่ชายขอบ แต่ก็เป็นชายขอบที่โอบอุ้มความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจการค้า

ศ. ดร.สุภางค์ จันทวานิช ชี้ให้เห็นว่า จุดยืนของเชียงรายนั้นไม่เคยนิ่งสนิท มันคือความย้อนแย้งระหว่าง “ศักยภาพที่จะเปิดประตู” กับ “พันธนาการที่มองไม่เห็น” กฎหมายที่ตกรุ่น วิธีคิดแบบรวมศูนย์ที่ทำให้ชายแดนยังคงเป็นเพียงสนามเงียบ มากกว่าประตูที่เปิดกว้างสู่ล้านนาและอุษาคเนย์

เชียงรายในสายตาของเธอ จึงไม่ใช่เพียงพรมแดน หากคือ “พื้นที่ทดสอบ” ว่าสังคมไทยจะกล้าพอหรือไม่ ที่จะวางความไว้ใจให้ท้องถิ่นออกแบบอนาคตของตนเอง บทบันทึกนี้ไม่เพียงตีแผ่ข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้าง แต่ยังเป็นการตั้งคำถามถึงหัวใจของความเป็นชาติ ว่าจะเลือกปิดประตูเพราะกลัว หรือจะเปิดมันออกด้วยความหวังและศรัทธา

เมื่อกฎหมายคือโซ่ตรวน: โครงสร้างรัฐรวมศูนย์ที่ฉุดรั้งการพัฒนา

บนถนนสายในเมืองเชียงราย แผงร้านเล็ก ๆ ของแม่ค้าชาวไทใหญ่ตั้งเรียงกัน เธอเล่าให้ฟังว่า ทุกเช้าเธอต้องเดินเอกสารไป-กลับที่ว่าการอำเภอ บางครั้งเรื่องเล็กแค่ขออนุญาตตั้งร้านริมถนน ก็ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่ากระดาษที่ส่งขึ้นไปถึงจังหวัดจะถูก “ประทับตรา” และกว่าจะย้อนกลับมาถึงมือเธอ ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นคือภาพสะท้อนของสิ่งที่ ศ. ดร.สุภางค์ จันทวานิช เรียกว่า “โซ่ตรวนที่มองไม่เห็น”

โครงสร้างรัฐรวมศูนย์ ที่ถูกวางรากไว้ด้วย พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือกลไกที่ทำให้เชียงรายเป็นเพียง “ผู้รับคำสั่งจากกรุงเทพฯ” ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ถูกแต่งตั้งจากส่วนกลาง หรือแผนพัฒนาที่ออกแบบไว้ในห้องประชุมริมเจ้าพระยา ความคิดสร้างสรรค์ของท้องถิ่นกลับถูกบังคับให้อยู่ในกรอบเอกสารที่ไม่ได้มองเห็นภูเขาโอบเมือง หรือสายน้ำโขงที่ไหลผ่าน

หลายโครงการที่คนเชียงรายริเริ่มขึ้น ตั้งแต่การท่องเที่ยวข้ามแดนกับท่าขี้เหล็ก ไปจนถึงงานหัตถกรรมชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ มักหยุดชะงักอยู่ตรงเส้นแบ่งของระบบราชการ ความล่าช้าเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาการจัดการ แต่คือสิ่งที่สุภางค์นิยามว่า “ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง” มันกัดกินศักยภาพของผู้คนอย่างเงียบ ๆ และพรากโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยมือของพวกเขาเอง

ทางออกที่เธอชี้ให้เห็น จึงไม่ใช่เพียงการแก้ไขข้อกฎหมายเล็กน้อย แต่คือ การรื้อสร้างใหม่ทั้งระบบ ผ่านการผลักดัน พ.ร.บ. บริหารจัดการชายแดน ที่เปิดทางให้ท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดทิศทาง และเปลี่ยนบทบาทของส่วนกลางจาก “ผู้สั่งการ” มาเป็น “ผู้สนับสนุนและกำหนดมาตรฐาน” เปลี่ยนโซ่ตรวนให้กลายเป็นสะพาน ที่เชื่อมชายขอบเข้ากับอนาคตที่พวกเขามีสิทธิออกแบบเอง

เศรษฐกิจทางผ่าน: เมื่อเชียงรายเป็นเพียงเส้นทาง ไม่ใช่จุดหมาย

ค่ำวันหนึ่งที่ด่านแม่สาย รถบรรทุกสินค้าจีนจอดเรียงยาวเป็นแถบ หัวลากเหล็กเคลื่อนตัวช้า ๆ ราวกับสายธารโลหะที่ไม่มีวันหยุดไหล พ่อค้ารายย่อยที่ตั้งร้านขายผ้าและของที่ระลึกริมทาง มองดูขบวนรถผ่านไปโดยไม่อาจแตะต้องแม้เศษเสี้ยวของเม็ดเงินมหาศาลที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ประเทศ ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่ ศ. ดร.สุภางค์ จันทวานิช เรียกว่า “เศรษฐกิจชายแดนที่ไม่เคยเป็นของคนชายแดน”

แม้เชียงรายจะถูกจัดวางให้อยู่ในฐานะ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นเพียงการทำให้เมืองนี้กลายเป็น ทางผ่าน สินค้าจากจีน ผ่านลาว เข้าสู่ส่วนกลาง ผลประโยชน์ก้อนใหญ่จึงตกอยู่ในมือบริษัทโลจิสติกส์และผู้นำเข้าที่นั่งสบายอยู่ริมเจ้าพระยา ในขณะที่คนเชียงรายเองกลับได้เพียงเศษเสี้ยวจากระบบกระจายสินค้าที่ตนแทบไม่มีสิทธิออกแบบ

ความเจ็บปวดชัดที่สุดสะท้อนออกมาในอากาศที่ผู้คนสูดเข้าไปทุกปี  ฝุ่น PM2.5 ที่คลุ้งหนาในฤดูเผาไร่ ข้าวโพดที่ปลูกเต็มหุบเขาไม่ได้ปลูกเพื่อตลาดท้องถิ่น หากปลูกเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารสัตว์ของทุนใหญ่ ความมั่งคั่งจึงไหลเข้าสู่โรงงานอาหารสัตว์ ขณะที่หมอกควันไหลเข้าสู่ปอดของคนเชียงราย

นี่คือเศรษฐกิจแบบ “ศูนย์กลางดูดซับ”  ส่วนกลางได้ผลกำไร ส่วนท้องถิ่นได้ผลข้างเคียง คนในพื้นที่กลายเป็นผู้แบกรับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยแทบไม่ได้รับโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรของตนเองเลย ความเปราะบางทางเศรษฐกิจจึงไม่ใช่เพียงเรื่องรายได้ แต่เป็นความรู้สึกถูกทำให้เป็นเพียง “ทางผ่าน” ของระบบใหญ่ที่ไม่เคยเหลียวมองกลับมา

พลิกกระบวนทัศน์: จากชายขอบสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์

ยามบ่ายที่สถานีรถไฟบ่อเต็น–บ่อหาน ขบวนรถไฟจีน–ลาวแล่นผ่านไปด้วยเสียงหวีดสั้น ๆ เหมือนกำลังประกาศการมาถึงของยุคใหม่ เส้นรางเหล็กที่ทอดยาวนั้นไม่ได้เพียงเชื่อมเมือง แต่กำลังเชื่อมอนาคตของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเข้าด้วยกัน  และเชียงรายคือหนึ่งในประตูสำคัญที่กำลังถูกทดสอบว่าจะเลือกยืนอยู่ตรงไหน

“เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดว่าชายแดนไม่ใช่ชายขอบ แต่คือ พื้นที่ยุทธศาสตร์” ศ. ดร.สุภางค์ จันทวานิช ย้ำเสียงหนักแน่นในวงเสวนา ประโยคสั้น ๆ นี้เหมือนเข็มทิศที่ชี้ทิศทางใหม่ให้กับสังคมไทย

หากยังใช้กรอบความมั่นคงแบบเดิม รถไฟขบวนนี้ก็จะกลายเป็นเพียงอีกหนึ่ง “ทางผ่าน” ของสินค้าราคาถูกจากจีนที่ไหลทะลักเข้าสู่ตลาดท้องถิ่น ทำให้ผู้ผลิตเชียงรายต้องรับแรงกระแทกโดยไร้เกราะป้องกัน แต่หาก เปลี่ยนกระบวนทัศน์ได้ทันเวลา เชียงรายจะไม่ใช่เพียงสถานีพักสินค้า หากแต่เป็น ศูนย์กลางโลจิสติกส์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่สามารถยกระดับข้าวหอมมะลิ ชาอัสสัม ผ้าทอชาติพันธุ์ และงานหัตถกรรมท้องถิ่น ไปสู่ตลาดโลก

นี่ไม่ใช่เพียงการแก้กฎหมาย แต่คือการปลดล็อกจินตนาการใหม่ต่อชายแดนไทย ความมั่นคงจึงไม่ควรหมายถึงกำแพงสูงหรือด่านตรวจเข้มงวด หากคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและผลประโยชน์ร่วมกับเพื่อนบ้าน  การเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมและยั่งยืน