เสียงสะท้อนแห่งสันติภาพบนสะพานที่ทอดข้ามโขง
เสียงคำรามของเครื่องยนต์จากรถบรรทุกหลากคันดังก้องอยู่บนสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 สายเชื่อมเชียงของกับห้วยทราย ท่ามกลางม่านหมอกเบาบางที่ลอยล่องเหนือผืนน้ำโขง ทุกคันที่แล่นผ่านคือสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลง จากเส้นแบ่งภูมิรัฐศาสตร์ที่เคยตึงเครียด กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจอนุภูมิภาค ที่เต้นเร้าอย่างสม่ำเสมอในร่างกายของอาเซียน
บนสะพานเส้นนี้ มิได้มีเพียงรถบรรทุกหนักหน่วงที่เคลื่อนข้ามไปมา หากแต่ยังมีพ่อค้าแม่ขายที่ใช้จักรยานยนต์บรรทุกสินค้าพื้นบ้าน ผัก ผลไม้ และความหวังที่บรรจุไว้ในถุงพลาสติกใบเก่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของแรงงานที่ข้ามฟากมาพบกันทุกเช้า เสียงนั้นมิใช่เพียงเสียงของความเป็นมิตร หากแต่เป็นเสียงของชีวิต ชีวิตที่หยัดยืนอยู่บนสันติภาพที่สัมผัสได้จริง และมอบโอกาสใหม่ให้กับผู้คนธรรมดาเมื่อยามเย็นมาเยือน แสงไฟบนสะพานสาดส่องลงผิวน้ำโขงระยิบระยับดุจดาวตก นั่นคือภาพสะท้อนของการเชื่อมต่อที่ทรงพลัง ไม่ใช่เพียงทางกายภาพ หากแต่ลึกลงไปถึงระดับจิตสำนึก มันคือการยอมรับว่า
“ชายแดน” ไม่ใช่จุดจบของดินแดน หากคือจุดเริ่มของการอยู่ร่วมกัน
สิบปีก่อน พื้นที่ริมฝั่งโขงด้านนี้ยังเงียบสงบ เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ผู้คนอาศัยอยู่ด้วยการเก็บเกี่ยวจากธรรมชาติ บัดนี้ กลับกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของทั้งภูมิภาค เส้นทางโลจิสติกส์จากจีนตอนใต้ไหลผ่านถนนสายนี้ลงสู่มาเลเซียและสิงคโปร์ ผ่านเครือข่ายภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจ GMS เสมือนแม่น้ำเศรษฐกิจที่มิอาจหยุดยั้ง
ทว่า ในเงาของการเติบโตที่จับต้องได้ เสียงของผู้คนชายแดนกลับแผ่วเบาลง เสียงที่เคยบอกเล่าความฝัน ความกลัว และความคาดหวัง กลับถูกกลบด้วยตัวเลขทางการค้า คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “สันติภาพได้บังเกิดขึ้นแล้วหรือยัง?” แต่ควรถามต่อว่า “สันติภาพเช่นนี้ ได้แผ่ซ่านถึงปลายนา ปลายสวน และทุกครัวเรือนจริงหรือไม่?”หากเศรษฐกิจคือเส้นเลือด สันติภาพก็คือหัวใจของภูมิภาคนี้ และหัวใจดวงนั้นจะเต้นต่อไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า “ทุกคน” จะได้มีที่ยืนในโลกใหม่ที่ไร้เส้นแบ่งเพียงใด
