มิติที่ถูกลืมของแม่น้ำโขง
สไลด์ที่จะแสดงขึ้นนี้มาจากประสบการณ์ที่ผมเคยนำเสนอให้แก่ผู้เข้าร่วมอบรมในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร โดยผมต้องการกระตุ้นให้พวกเขาสนใจในประเด็นของแม่น้ำโขงอย่างลึกซึ้งและจริงจัง เพราะแม่น้ำโขงมีความสำคัญในหลายมิติที่เราอาจละเลยมานาน
โดยทั่วไป เวลาที่เราพูดถึงแม่น้ำโขง มักเน้นหนักไปที่เรื่อง ความมั่นคงทางพลังงาน เช่นการพัฒนาเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ ซึ่งเป็นแค่ด้านเดียวของแม่น้ำโขงเท่านั้น ที่เราเห็นแม่น้ำเป็นเพียงแหล่งน้ำ หรือ “H2O” แต่ในความเป็นจริง แม่น้ำโขงมีความสำคัญมากกว่าแค่ทรัพยากรน้ำ
มิติที่ถูกละเลยอย่างมาก และควรได้รับความสำคัญคือ มิติความมั่นคงทางอาหาร แม่น้ำโขงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งอาหารหลักให้แก่ผู้คนหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำโขง ซึ่งครอบคลุมทั้งประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม การประมงในแม่น้ำนี้มีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตและเลี้ยงประชากรในภูมิภาค
แม่น้ำโขงยังเป็นปัจจัยใน ความมั่นคงทางทหาร ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับประเทศไทย แต่ยังรวมถึงทั้งภูมิภาคอีกด้วย การควบคุมแม่น้ำนี้มีความหมายทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ เพราะเป็นเส้นทางหลักสำหรับการคมนาคมและการค้าที่สำคัญ
แม่น้ำโขงในภาพใหญ่
แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงทิเบต ไหลผ่านหลายประเทศและมีความยาวเกือบ 5,000 กิโลเมตร ทำให้เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับที่สิบของโลก โดยมีปริมาณน้ำรวมถึง 475,000 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากความยาวและปริมาณน้ำแล้ว ความหลากหลายทางชีวภาพของแม่น้ำโขงยังถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยชนิดพันธุ์ปลามากถึง 850 ชนิด จัดเป็นแม่น้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากแม่น้ำอเมซอน แต่กลับถูกมองข้ามไปในหลายมิติ
แม่น้ำโขงยังมีความเชื่อมโยงกับเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองจากอาร์กติกและแอนตาร์กติก แหล่งน้ำนี้มีความสำคัญระดับโลก เพราะถือเป็นถังน้ำจืดที่หล่อเลี้ยงประชากรโลกถึง 3,000 ล้านคนและเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญถึงเก้าสาย ได้แก่ แม่น้ำสินธุ, แม่น้ำสัจจะเลศ, แม่น้ำคงคา, แม่น้ำพรหมบุตร, แม่น้ำสารภี, แม่น้ำอิรวดี, แม่น้ำโขง, แม่น้ำเหลือง, และแม่น้ำแยงซีเกียง
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยละลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงแล้ว ยังอาจเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต เนื่องจากปริมาณน้ำจืดในภูมิภาคจะลดลง
แม่น้ำโขงประกอบด้วยสองสาขาใหญ่ ได้แก่ แม่น้ำลานช้าง (ในประเทศจีน) และแม่น้ำเมเล ซึ่งไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยและมาบรรจบกันที่เมืองลาซา เมืองหลวงของทิเบต จุดนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำโขงที่เรารู้จัก การเข้าใจแม่น้ำโขงในภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นนี้จะช่วยให้เรามองเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำในหลากหลายมิติมากขึ้น
พันธุ์ปลาในแม่น้ำโขง
แม่น้ำโขงมีพันธุ์ปลามากมายเกือบพันชนิด ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรน้ำจืดที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการจับปลาสูงถึง 2.6 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของปริมาณการจับปลาน้ำจืดทั่วโลก การจับปลาที่แม่น้ำโขงจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนในหลายพื้นที่ได้ทำให้ ตะกอนดิน ในแม่น้ำโขงค่อย ๆ ลดลงไป ตะกอนดินมีความสำคัญในระบบนิเวศเพราะช่วยสร้างแร่ธาตุในดิน ช่วยกรองน้ำให้สะอาดและฟอกอากาศ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอุทกภัยและวาตภัย ตะกอนดินจึงเป็นทรัพยากรที่ควรได้รับการดูแลรักษา แต่เรากลับมักมองข้ามความสำคัญของมันไป
แม่น้ำโขงตอนล่าง ซึ่งไหลผ่าน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงผู้คนกว่า 60 ล้านคน พื้นที่นี้อาศัยแม่น้ำโขงเป็นแหล่งโปรตีนหลัก มูลค่าของทรัพยากรจากการประมงน้ำจืดในลุ่มน้ำโขงนี้สูงถึง 100,000-200,000 ล้านบาทต่อปี แต่กลับไม่มีการพูดถึงมิติความมั่นคงทางอาหารของแม่น้ำโขงอย่างเพียงพอ
พันธุ์ปลาที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่น้ำโขง เช่น ปลาบึก เคยมีความอุดมสมบูรณ์จนผมเองเคยได้เห็นการจับปลาบึกเมื่อกว่า 20 ปีก่อน แต่ในปัจจุบัน สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและการสร้างเขื่อนทำให้การจับปลาบึกเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว
การระเบิดแก่ง
เรื่องราวเกี่ยวกับการระเบิดแก่งในแม่น้ำโขงมักไม่ค่อยมีใครรู้ ในอดีต ฝรั่งเศสเคยมีความคิดที่จะสำรวจเส้นทางน้ำขึ้นไปถึงจีนโดยผ่านแม่น้ำโขง เพื่อเป็น “ประตูหลัง” ในการเข้าสู่ประเทศจีนและต่อสู้กับอิทธิพลของอังกฤษในภูมิภาคนั้น ขณะที่อังกฤษเองพยายามใช้เส้นทางแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำศิลปิน แต่เส้นทางก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีแก่งหินจำนวนมากขวางอยู่
จีนก็มีการระเบิดแก่งหินในแม่น้ำโขงเพื่อเปิดทางการขนส่งสินค้า และในปัจจุบัน แม้ว่าการระเบิดแก่งเพื่อพัฒนาการขนส่งจะถูกหยุดชั่วคราว แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญของแก่งหิน ในแม่น้ำโขงนั้นมักถูกมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วแก่งหินเปรียบเสมือนแนวปะการังใต้ทะเล เป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์น้ำหลายชนิด จึงเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพของแม่น้ำโขงที่สำคัญ การระเบิดแก่งหรือการสร้างเขื่อนส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศ เช่น ทำให้ระดับน้ำเปลี่ยนแปลง และส่งผลเสียต่อสัตว์น้ำและนกหลายชนิด
นกที่เคยทำรังใกล้ริมน้ำก็ได้รับผลกระทบมาก บางสายพันธุ์ถึงขั้นใกล้สูญพันธุ์เพราะระดับน้ำสองฝั่งของแม่น้ำไม่เหมือนเดิม ทำให้ถิ่นอาศัยที่พวกมันเคยพึ่งพาหายไป สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบของการระเบิดแก่งในแม่น้ำโขงมีมากกว่าที่เราคิด
เรื่องราวระหว่างประเทศ
แม่น้ำโขงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในเรื่องการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดการปะทะกันระหว่าง กองทัพไทยและกองทัพฝรั่งเศส ณ บริเวณแม่น้ำโขงในช่วงที่ฝรั่งเศสยึดครองลาว ขณะที่ประเทศไทยยังถือครองลาวอยู่ ความขัดแย้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการขยายอำนาจของจักรวรรดิฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหตุการณ์นี้นำมาซึ่ง วิกฤติ ร.ศ. 112 ซึ่งมีผลกระทบสำคัญต่อสยาม ในเวลานั้นฝรั่งเศสได้นำกองเรือมายังแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเข้าปิดปากน้ำและล่องเรือมาจนถึงบริเวณโรงแรมโอเรียนเต็ล (ในปัจจุบัน) เพื่อกดดันและบังคับให้สยามยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ผลของการยอมจำนนนี้ทำให้สยามสูญเสียดินแดนรวมทั้งสิ้น 143,800 ตารางกิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศลาว และประชากรอีก 600,000 คน ที่ต้องตกไปอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศส นอกจากนี้ สยามยังต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3 ล้านฟรังก์ ให้แก่ฝรั่งเศสอีกด้วย
เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความสำคัญของแม่น้ำโขงในแง่ของการเป็นพรมแดนทางภูมิศาสตร์และสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภูมิภาค ซึ่งในปัจจุบัน แม่น้ำโขงยังคงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศเช่นเดียวกับในอดีต
แบตเตอรี่แห่งเอเชีย
ในปัจจุบัน แม่น้ำโขงได้กลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของภูมิภาคเอเชีย ถูกขนานนามว่าเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชีย” เนื่องจากการก่อสร้างเขื่อนหลายแห่งเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยเฉพาะในตอนใต้ของจีน รัฐบาลจีนได้พัฒนาจังหวัดยูนนานให้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าทั้งภายในประเทศและในภูมิภาค
ในอนาคต จีนตั้งเป้าที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนในแม่น้ำโขงถึง 100,000 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขมหาศาลและยังมีแผนการก่อสร้างเขื่อนเพิ่มเติมอีกมาก ปัจจุบันมีเขื่อนในลุ่มน้ำโขงแล้วกว่า 20 เขื่อน และในอนาคตจะมีการขยายจำนวนเขื่อนเพิ่มขึ้นอีก
แม้ว่าการผลิตไฟฟ้าจะเป็นประโยชน์ด้านพลังงานสำหรับภูมิภาค แต่การสร้างเขื่อนก็ได้สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงเช่นกัน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และวิถีชีวิตของผู้คนในลุ่มน้ำโขง
ปัญหาที่เกิดจากเขื่อน
การสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในตอนเหนือที่จีนมีบทบาทหลัก ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศที่อยู่ตอนล่างของแม่น้ำ เช่น ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หนึ่งในปัญหาที่พบเห็นได้ชัดเจน คือ การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำ ซึ่งไม่สม่ำเสมอและมักทำให้เกิดน้ำท่วมในบางช่วง การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำที่ขึ้นลงอย่างไม่เป็นธรรมชาตินี้เกิดจากการควบคุมการปล่อยน้ำจากเขื่อน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศในท้องถิ่น
องค์กร Mekong River Commission (MRC) ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบของการสร้างเขื่อนที่คุกคามทั้งระบบนิเวศและเศรษฐกิจในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เสียงเตือนเหล่านี้ยังไม่ได้รับการรับฟังมากพอ ปัญหาหนึ่งที่สำคัญคือ ปริมาณตะกอนดินที่ลดลง เนื่องจากการกักเก็บน้ำในเขื่อนทำให้ตะกอนที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถไหลลงไปสู่ตอนล่างได้ตามปกติ
ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ เวียดนาม ซึ่งเป็นปลายทางของแม่น้ำโขง ตะกอนที่เคยสะสมบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำในเวียดนามเริ่มหายไป เนื่องจากการสร้างเขื่อนทำให้แร่ธาตุและสารอาหารในดินลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะนาข้าวขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ผลกระทบที่รุนแรงในอนาคตจะไม่เพียงแต่ลดปริมาณแร่ธาตุในดินเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะลดปริมาณ สัตว์น้ำ อย่างมากในแม่น้ำโขง ภายในปี 2583 คาดว่าทรัพยากรน้ำและสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำจะลดลงอย่างมาก หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขหรือหาทางรับมืออย่างจริงจัง
แม่โขงกับความเหลื่อมล้ำ
แม่น้ำโขงในปัจจุบันเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึง ความเหลื่อมล้ำในสังคมโลก ผู้ได้รับประโยชน์จากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำโขงมีเพียงกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่คือบริษัทหรือผู้มีอำนาจที่ได้รับกำไรจากพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ ขณะที่คนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกว่า 60 ล้านคน ต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ วิถีชีวิต และความมั่นคงทางอาหาร
การสร้างเขื่อนได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำ การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ และความเสี่ยงต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ แต่กลับเป็นผลประโยชน์เพียงหยิบมือที่ตกแก่กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการลงทุนในเขื่อนเหล่านี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความเจริญจากโครงการขนาดใหญ่ไม่ได้กระจายตัวไปยังคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง
แม่น้ำโขงจึงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึง ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม ในการจัดสรรผลประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรตระหนักและหาทางแก้ไขเพื่อให้เกิดความสมดุลและความยุติธรรมมากขึ้นในภูมิภาคนี้
การเปลี่ยนแปลงเส้นทางแม่น้ำโขง
ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขงที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ โดยปกติแม่น้ำโขงจะไหลลงสู่ทะเลทางตอนใต้ของเวียดนาม แต่ กัมพูชา มีแผนที่จะขุดคลอง “ฟูนัน-เท็กโค่” ซึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขงไปออกสู่ทะเลที่พนมเปญแทน ส่งผลให้เวียดนามเกิดความกังวลอย่างมาก เพราะการไหลของน้ำและทรัพยากรที่เคยเข้าถึงตอนปลายของแม่น้ำโขงอาจลดลง
โครงการขุดคลองนี้ได้รับการสนับสนุนจากจีนด้วยเงินทุนกว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของจีนในการขยายอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในกัมพูชา การสร้างคลองนี้ทำให้กัมพูชามีเส้นทางออกทะเลได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาท่าเรือของเวียดนาม เป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้แก่กัมพูชาและช่วยลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากเวียดนาม
การเปลี่ยนแปลงเส้นทางแม่น้ำโขงนี้จึงไม่เพียงแต่กระทบด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ความขัดแย้งทางการเมืองและการแข่งขันเพื่ออิทธิพลระหว่างประเทศ ที่ซับซ้อนในภูมิภาคเอเชียตะวัน
เขื่อนในลาวกับพลังงานสะอาด
ในประเด็นเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนในลาว มีการนำเสนอว่าเขื่อนเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่สามารถลดการใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานที่ไม่สะอาดตามแผนพลังงานแห่งชาติของลาว การสร้างเขื่อนจึงถูกมองว่าเป็นวิธีในการลดโลกร้อน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังขาอย่างมากว่าการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนเป็นพลังงานสะอาดจริงหรือไม่
แม้ว่าเขื่อนจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่เขื่อนยังปล่อยก๊าซ มีเทน ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของพืชพรรณและตะกอนในอ่างเก็บน้ำ ก๊าซมีเทนมีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอย่างมาก ดังนั้น การอ้างว่าเขื่อนเป็นพลังงานสะอาดจึงอาจเป็นการเข้าใจผิดหรือการอ้างเพื่อสนับสนุนการขยายโครงการเขื่อนอย่างรวดเร็ว
การสร้างเขื่อนในลาว แม้จะดูเป็นแหล่งพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมุมมองของผู้สนับสนุน แต่ในความเป็นจริง การผลิตกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนยังคงส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐกับการแก้ปัญหา
ตัวอย่างคลาสสิกของการแก้ปัญหาภายในประเทศที่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ ซึ่งเผชิญกับปัญหาหมอกควันพิษมาเป็นเวลาหลายสิบปี หมอกควันเหล่านี้เกิดจากการเผาป่าบนเกาะบอร์เนียวในอินโดนีเซีย แม้จะอยู่นอกพรมแดนสิงคโปร์ แต่รัฐบาลสิงคโปร์ก็ตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างจริงจังด้วยการใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดและยึดประชาชนเป็นจุดเริ่มต้น
รัฐบาลสิงคโปร์ออก กฎหมายข้ามพรมแดน บังคับให้บริษัทสัญชาติสิงคโปร์ที่มีส่วนร่วมในการทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการเผาป่าในอินโดนีเซียถูกปรับวันละ 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หากพบว่ามีการกระทำดังกล่าว ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนสิงคโปร์ก็พร้อมใจกัน บอยคอตสินค้า ที่มาจากการทำลายป่า ทำให้ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าต้องนำสินค้าเหล่านี้ออกจากชั้นวาง เนื่องจากขายไม่ออก ไม่กี่ปีต่อมา คุณภาพอากาศในสิงคโปร์ดีขึ้นอย่างชัดเจน แสดงถึงผลลัพธ์ของการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มงวดและความร่วมมือของประชาชน
ในทางกลับกัน เมื่อพูดถึงประเทศไทยซึ่งประสบปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าเช่นกัน รัฐบาลไทยมักจะใช้คำว่า “ขอความร่วมมือ” เป็นหลัก โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่ แทนที่จะออกมาตรการทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของสิงคโปร์ที่เน้นการออกกฎหมายและมีการบังคับใช้ทันที
นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในนโยบายต่าง ๆ ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ควรพัฒนา สำหรับกรณีของ Mekong River Commission (MRC) หน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการแม่น้ำโขง การมีตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการจะช่วยให้เสียงและความต้องการของประชาชนในลุ่มน้ำโขงได้รับการพิจารณามากขึ้น ไม่ใช่มีแค่ข้าราชการเพียงอย่างเดียว