สารพิษในแม่น้ำ x Chiang Rai Film Club 

ไทม์ไลน์วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก (ฉบับละเอียด)
ก.ย. 2567 – ก.พ. 2568
สัญญาณเตือนแรกและการเพิกเฉย

ชาวบ้านและผู้ประกอบการเรือใน จ.เชียงราย สังเกตเห็นความขุ่นของแม่น้ำกกที่ผิดปกตินานถึง 6 เดือนหลังน้ำท่วมใหญ่ [1] ต่อมาในเดือน ก.พ. 2568 มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ลงพื้นที่สำรวจและพบว่าน้ำขุ่นกว่าปกติถึง 8 เท่า ส่งผลกระทบต่อระบบประปา การเกษตร และการท่องเที่ยวเป็นระยะทางยาวกว่า 80 กิโลเมตร [1]

15 มีนาคม 2568
เสียงจากชุมชน: การประท้วงครั้งสำคัญ

ชาวบ้านจากตำบลท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ประมาณ 700 คน รวมตัวเดินขบวนประท้วง [1] พวกเขาชี้เป้าอย่างชัดเจนว่าต้นตอของปัญหามาจากการทำเหมืองทองคำริมฝั่งแม่น้ำกกในรัฐฉาน ซึ่งดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยกลุ่มทุนจีนและอยู่ภายใต้การคุ้มกันของกองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) [1]

17 มีนาคม 2568
ภาครัฐเริ่มเคลื่อนไหวและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สั่งการให้หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาและกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกเข้าเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อส่งตรวจ [1] ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิด “สึนามิโคลน” ในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง หากไม่มีการจัดการหน้าดินบนพื้นที่ต้นน้ำที่ถูกทำลาย [1]

19 มีนาคม 2568
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นแรก

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ประกาศผลตรวจน้ำเบื้องต้น พบสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 2 เท่า และค่าความขุ่นของน้ำสูงกว่าปกติ 8-9 เท่า นำไปสู่การประกาศห้ามใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในเบื้องต้น และมีการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาสารไซยาไนด์เพิ่มเติม [1]

4 เมษายน 2568
ประกาศภาวะวิกฤต: จากน้ำขุ่นสู่น้ำพิษ

ผลการตรวจวิเคราะห์อย่างเป็นทางการถูกเปิดเผย ระบุว่าคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกอยู่ในสถานะ “เสื่อมโทรม” อย่างรุนแรง มีการตรวจพบสารหนูและสารปรอท (Mercury) เกินค่ามาตรฐาน [1] ภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นพื้นที่เหมืองขนาดมหึมาถึง 1,000 ไร่ และมีการเปิดโปงกลยุทธ์ “จีนเทา” ที่นักลงทุนจีนสวมบัตรประชาชนพม่าเพื่อจัดตั้งบริษัท [1]

กลาง-ปลาย เมษายน 2568
ผลกระทบลูกโซ่ทางเศรษฐกิจและสังคม

ภาคการท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ริมแม่น้ำกกเงียบเหงาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร้านอาหารและแพริมน้ำสูญเสียรายได้กว่า 80% [1] หมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรซึ่งมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวชมช้าง ได้รับผลกระทบหนัก นักท่องเที่ยวลดลง 80% [1] เกษตรกรต่างหวาดวิตก และรัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานระดับชาติจาก 6 กระทรวงหลักเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหา [1]

พฤษภาคม 2568
ปัญหาซับซ้อนขึ้นและทางแก้ที่ไม่เพียงพอ

มีการเปิดโปงภัยคุกคามใหม่จากการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) [1] ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA ชี้ว่ามีพื้นที่เหมืองมากกว่า 40 จุด [1] รัฐบาลเสนอแนวทางสร้าง “ฝายดักตะกอน” แต่ถูกผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะไม่สามารถกรองสารโลหะหนักที่ละลายในน้ำได้ ซึ่งเป็นภัยคุกคามหลักต่อสุขภาพ [1]

5 มิถุนายน 2568
การทูตเริ่มต้น: จีนออกแถลงการณ์

สถานเอกอัครราชทูตจีน ณ กรุงเทพมหานคร ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยยอมรับว่ารับทราบถึงปัญหามลพิษ และแสดงความพร้อมที่จะช่วยประสานงานระหว่างไทยและเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหา [1]

10 มิถุนายน 2568
วิกฤตขยายวงสู่แม่น้ำโขง

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) แถลงผลการตรวจสอบครั้งใหญ่ ยืนยันการปนเปื้อนของสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 15 จุด ไม่ใช่แค่ในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แต่ยังลุกลามไปถึงแม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง ทำให้ปัญหากลายเป็นภัยคุกคามระดับภูมิภาคอย่างเป็นทางการ [1]

4 กรกฎาคม 2568
องค์กรระหว่างประเทศเข้าแทรกแซง

คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) ยกระดับการแจ้งเตือนภัยคุกคามจากสารหนูสู่ระดับ “รุนแรงปานกลาง” (Moderately Severe) และประกาศว่าจะเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบและอำนวยความสะดวกในการเจรจาระดับสูง ซึ่งจะรวมถึงไทย ลาว เมียนมา และจีน [1]

7 กรกฎาคม 2568
ผลกระทบต่อมนุษย์ที่น่าตกใจ

มีรายงานยืนยันว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจพบสารหนูในร่างกายของเด็ก 2 คนในหมู่บ้านแก่งทรายมูล อ.แม่อาย ซึ่งคาดว่ามาจากการบริโภคปลาในแม่น้ำกก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ มีความพยายามจากทางการที่จะปกปิดข้อมูลนี้ โดยอ้างว่าเพื่อ “ป้องกันความตื่นตระหนก” ของประชาชน [1]

22 กรกฎาคม 2568
เวทีหารือระดับสูงและการมีส่วนร่วม

MRC ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งใหญ่ รวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมาหารือร่วมกันเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ในเวทีนี้ เครือข่ายภาคประชาชนได้ยื่นข้อเรียกร้อง 6 ข้อต่อ MRC เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ [1]

30 กรกฎาคม 2568
พลังจากรากหญ้า: กำเนิด “นักวิทยาศาสตร์พลเมือง”

องค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิจัยริเริ่มโครงการฝึกอบรมให้ชาวบ้านในพื้นที่สามารถใช้ชุดตรวจวัดคุณภาพน้ำเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง (Citizen Science) เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมของตนเองได้โดยไม่ต้องรอข้อมูลจากภาครัฐ [1]

1 สิงหาคม 2568
ผลวิจัยชี้ชัด: ความเสี่ยงมะเร็งระยะยาว

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เผยแพร่ผลการศึกษาที่ครอบคลุมที่สุด ยืนยันการปนเปื้อนของโลหะหนักหลายชนิด (สารหนู, แคดเมียม, ตะกั่ว, นิกเกิล) ในระบบนิเวศ และที่น่ากังวลที่สุดคือ ผลการประเมินความเสี่ยงชี้ว่าประชาชนในพื้นที่ชายแดนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ [1]


แผนที่การตรวจวัดค่าของกรมควบคุมมลพิษ

https://www.google.com/maps/d/u/0/edit?mid=1f22Tw_8HvhoTRNUe57ANvDxX7Ryvhy0&usp=sharing


KEY Word คำสำคัญ

  • แม่น้ำกก (Kok River): แม่น้ำสายหลักที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มีต้นกำเนิดในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และไหลผ่านจังหวัดเชียงราย เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชุมชนทั้งในด้านการเกษตร การท่องเที่ยว และการอุปโภคบริโภค.  
  • สารหนู (Arsenic): สารพิษโลหะหนักที่เป็นตัวบ่งชี้หลักของวิกฤตการณ์นี้ ตรวจพบในปริมาณที่สูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยทั้งในน้ำและตะกอนดิน เป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่ามลพิษมาจากแหล่งอุตสาหกรรม.  
  • เหมืองทอง (Gold Mining): กิจกรรมหลักที่ถูกระบุว่าเป็นต้นตอของมลพิษ เป็นเหมืองขนาดใหญ่แบบเปิดหน้าดินที่ดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมงในพื้นที่รัฐฉานของเมียนมา ซึ่งปล่อยตะกอนดินและสารเคมีลงสู่ต้นน้ำโดยตรง.  
  • กองกำลังว้า (UWSA): กองกำลังสหรัฐว้า (United Wa State Army) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่ต้นน้ำในรัฐฉานซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมือง และมีรายงานว่าเป็นผู้ร่วมลงทุนกับนักลงทุนชาวจีน.  
  • มลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution): หัวใจของปัญหาทั้งหมด คือมลพิษที่เกิดในประเทศหนึ่ง (เมียนมา) แต่ส่งผลกระทบร้ายแรงมายังอีกประเทศหนึ่ง (ไทย) ทำให้การแก้ไขปัญหามีความซับซ้อนและต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ.  
  • เหมืองแร่หายาก (Rare-Earth Mining): แหล่งมลพิษเพิ่มเติมที่ถูกเปิดโปงในภายหลัง เป็นการทำเหมืองที่ใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ต้นน้ำเดียวกัน และเพิ่มความซับซ้อนของ “ค็อกเทลสารเคมี” ในแม่น้ำ.  
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Impact): ความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ซบเซาอย่างหนักในช่วงเทศกาลสำคัญ และภาคการประมงที่พังทลายลงจากความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภค.  
  • จีนเทา (Grey Chinese Investors): คำที่ใช้อธิบายกลุ่มนักลงทุนชาวจีนที่ถูกกล่าวหาว่าใช้บัตรประจำตัวประชาชนเมียนมาปลอมในการจดทะเบียนบริษัททำเหมือง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและความรับผิดชอบจากรัฐบาลจีนโดยตรง.  
  • ฝายดักตะกอน (Sediment Dam/Weir): หนึ่งในมาตรการที่ภาครัฐไทยเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญว่าไม่สามารถจัดการกับสารหนูที่ละลายในน้ำได้ และอาจสร้างปัญหาระยะยาวจากการสะสมของตะกอนพิษ.  
  • ศูนย์ AIM (AIM Center): ศูนย์ปฏิบัติการและประสานงานแก้ไขปัญหามลพิษ (Action-Information-Mitigation) ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นในจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูล เฝ้าระวังสถานการณ์ และสื่อสารกับประชาชนแบบครบวงจร.  
  • วิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science): การที่ภาคประชาชนและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำด้วยตนเอง เช่น การติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ หรือการใช้ชุดตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้น ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของภาครัฐ.  

วงเสวนา / เวที


เสียงผู้คน


DATA SET คลิกดูได้เลย (Google Sheet)

ประกอบด้วยรวมข่าวจากแม่น้ำกกในฐานข้อมูลข่าวอย่าง

  • สำนักข่าวชายขอบ
  • ThaiPBS
  • สำนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • ศูนย์ AIM
  • ผลการตรวจน้ำกรมควบคุมมลพิษ

UPDATE 05/07/68