ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายค่อย ๆ กลายเป็นจุดรวมตัวของคนทำงานศิลปะหลากหลายกลุ่ม ไม่ใช่เพราะเมืองนี้มีแกลเลอรี่ใหญ่ หรือเงินทุนหนุนหลังจำนวนมาก แต่เพราะมีกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่อยากใช้ศิลปะเชื่อมโยงชีวิต ชุมชน และธรรมชาติเข้าด้วยกัน พวกเขาไม่ได้มาด้วยแผนธุรกิจ หรือความฝันแบบสวยหรู แต่เริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า “ถ้าเราอยากอยู่กับศิลปะอย่างแท้จริง เราจะทำได้แค่ไหน?”
บทความนี้จะพาไปรู้จักการรวมตัวแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ผ่านพื้นที่เล็ก ๆ ทั่วเชียงราย ที่กำลังสร้างระบบนิเวศใหม่ของศิลปะขึ้นจากศูนย์—ด้วยแรงกาย แรงใจ และแรงศรัทธา

การสร้างระบบนิเวศทางศิลปะในเชียงราย
จุดเริ่มต้นของการสร้างระบบนิเวศทางศิลปะในเชียงราย เริ่มจากความตั้งใจง่าย ๆ แต่หนักแน่น — อยากให้ศิลปินมีพื้นที่ร่วมพูดคุย แบ่งปัน และเชื่อมโยงถึงกัน จนเกิดเป็นโปรเจกต์เล็ก ๆ ชื่อ “Project Friday ที่จัดเสวนาศิลปะทุกวันศุกร์
เป้าหมายไม่ได้ซับซ้อน:
- เปิดพื้นที่ให้ศิลปินมาพบกันจริง ๆ
- เชื่อม Art Spaces ทั่วเชียงรายให้กลายเป็นเครือข่ายเดียวกัน
- วางรากฐานใหม่ให้ศิลปะในท้องถิ่นเติบโตได้เอง
สิ่งที่เน้นย้ำคือ “ศิลปะเพื่อสังคม” ไม่ใช่แค่โชว์ในแกลเลอรี่ แต่คือพลังในการเชื่อมคน ความคิด และวัฒนธรรม
Chiang Rai Art Map: เมื่อ Art Space ไม่ได้อยู่เพียงในตัวเมือง
ทีมผู้จัดได้ลงพื้นที่จริง สำรวจและรวบรวม Art Spaces ในเชียงรายไว้ทั้งหมด ตั้งแต่บ้านไม้กลางทุ่งนา ไปจนถึงบาร์กลางเมือง:
- Wood.Lover Café
- AHIFH:Artist Home International Friendship House.
- 3.14 Art Gallery
- เดย์ เสียง เครื่องดื่มคราฟต์และกาแฟ
- The lab & 209wine gallery
- ดงผีสือ
- ฮอมจ๊อยซ์
แต่ละแห่งมีวิธีคิดและสไตล์ต่างกัน แต่ทั้งหมดเชื่อมกันด้วยเป้าหมายเดียวกัน: ทำให้ศิลปะเข้าถึงชุมชนจริง ๆ
ไม่มีทุน แต่มี “ใจร่วม”
แนวทางของโครงการนี้ไม่พึ่งพางบประมาณจากหน่วยงานรัฐหรือองค์กรใหญ่ รายได้และแรงงานส่วนใหญ่ มาจากศิลปินและผู้จัดที่ใช้เงินส่วนตัว และแรงจากเพื่อนฝูง โดยใช้โมเดลแบบ ฮอมปอย — ใครมีอะไรก็แบ่ง ใครช่วยอะไรได้ก็เข้ามาเติม ศิลปะไม่ได้สร้างจากงบประมาณ แต่จาก “ความเชื่อร่วม” ของคนตัวเล็ก ๆ ที่อยากเห็นเชียงรายมีชีวิตทางวัฒนธรรมที่แท้จริง
ศิลปะ = ชีวิต
สิ่งที่ผู้จัดและศิลปินหลายคนพยายามย้ำคือ “ศิลปะไม่ใช่ของไกลตัว” มันแฝงอยู่ในธรรมชาติ ในความคิด ในการใช้ชีวิต และสามารถเป็นเครื่องมือปลูกฝังความเข้าใจในตัวเองและโลกได้ โดยเฉพาะกับเยาวชนในพื้นที่ เชียงรายกำลังค่อย ๆ เติบโตในทางศิลปะ ไม่ใช่จากตึกสูงหรืองบแสนล้าน แต่จากกลุ่มคนที่ลงมือทำจริง พูดคุยจริง และสร้างระบบนิเวศใหม่แบบเรียบง่ายแต่ยั่งยืน
บทบาทของพื้นที่ Art Space ต่าง ๆ: หลากมุม หลากฟังก์ชัน แต่มีเป้าหมายร่วม
Art Space ในเชียงรายไม่ได้เป็นแค่พื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ พวกเขาคือกลุ่มคนที่เปลี่ยนพื้นที่ของตัวเองให้กลายเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้คน ความคิด และชีวิตจริง จากบทสนทนาและการลงพื้นที่ของทีมผู้จัดโครงการ พบว่า แต่ละ Art Space มีบทบาทเฉพาะตัวที่สะท้อนอัตลักษณ์ของผู้ก่อตั้ง และตอบโจทย์ความหลากหลายของศิลปะ ชุมชน และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 5 กลุ่มหลัก:
1. พื้นที่แสดงงานศิลปะ (Exhibition Space)
หลายแห่งให้ศิลปินเข้ามาแสดงงานอย่างอิสระ โดยไม่เน้นการขาย หรือสร้างรายได้เป็นหลัก แต่เน้นให้ศิลปินมีพื้นที่แสดงออก มีเสียง และได้เชื่อมกับผู้ชมจริง ๆ
- บ้านอาจารย์หมี่ แปลงบ้านทั้งหลังให้เป็นนิทรรศการแบบเปิด ตั้งแต่หน้าทุ่งนาไปจนถึงห้องเก็บของหลังบ้าน
- 3.14 Art Gallery (แม่สาย) เปิดให้เด็กมัธยมและศิลปินท้องถิ่นที่ไม่มีโอกาสได้แสดงงาน ได้มีเวทีของตัวเอง — ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
2. เชื่อมโยงศิลปะกับชุมชน
หลาย space ไม่ได้ทำเพื่อศิลปินอย่างเดียว แต่ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารกับสังคม และทำงานร่วมกับประเด็นสำคัญของชุมชน เช่น เกษตรกรรม, สิ่งแวดล้อม, การศึกษา
- โครงการ เมล็ดพันธุ์ข้าว เชิญศิลปินมาร่วมสร้างสรรค์งานเพื่อส่งเสียงให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
- Day’s Farm ใช้วิธีให้คนงาน “ไปดูใบกล้วย” เพื่อฝึกสมาธิ ผ่านการเรียนรู้จากธรรมชาติ
- โรงเรียนศิลปะในแม่สาย เปิดให้เด็กเรียนศิลปะ และจัดนิทรรศการเพื่อให้ผู้ปกครองได้เห็นคุณค่าของผลงานลูก
3. พื้นที่ผสมผสาน – คาเฟ่ / บาร์ / โฮสเทล
เพื่อความยั่งยืนด้านรายได้ บาง Art Space ผสมผสานกับธุรกิจอื่น เช่น ร้านอาหาร บาร์ โรงเรียนสอนค็อกเทล หรือโฮสเทล โดยยังคงใช้ศิลปะเป็นแกนกลาง
- cocktail bar ที่มี rooftop, แกลเลอรี่, และเปิดสอน mixology
- รวมศิลปะตะวันออกกับภาษา วางแผนทำแคมป์ให้เด็กในเมืองมาทัศนศึกษาศิลปะท้องถิ่น
- แกลเลอรี่เล็ก ๆ กลางเมือง ที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปินวางขายผลงานขนาดเล็กได้
4. การเป็นพื้นที่รวมตัว / สร้างเครือข่าย
หลาย space ทำหน้าที่เป็นจุดนัดพบ จุดคุย จุดแลกเปลี่ยน ระหว่างศิลปิน นักออกแบบ และผู้สนใจทั่วไป — ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีกรอบแข็ง
- บ้านอาจารย์หมี่ AHIFH:Artist Home International Friendship House. และ เดย์ เสียง เครื่องดื่มคราฟต์และกาแฟเปิดบ้านเป็นพื้นที่ workshop, เสวนา, แลกเปลี่ยนแนวคิด
- ใช้แนวทาง “ฮอมปอย” — ใครว่างก็มา ใครช่วยได้ก็ช่วย เน้นพลังของ “เครือข่าย” มากกว่าระบบแบบทางการ
5. พื้นที่ศิลปะเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
บาง Art Space มีเป้าหมายชัดในการใช้ศิลปะเป็น “เครื่องมือสื่อสาร” ประเด็นใหญ่ในสังคม เช่น สิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือจิตวิญญาณ
- มีการพาศิลปินนานาชาติล่องแม่น้ำโขง เพื่อจัด performance สะท้อนผลกระทบจากการสร้างเขื่อน
- การพัฒนา เครื่องดื่ม craft soda จากดอกบัวอียิปต์ — ที่ไม่ใช่แค่รสชาติดี แต่ช่วยให้ “นิ่งและสงบ” เชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องสมาธิ และสุขภาพจิต

ประสบการณ์ชีวิตและแรงบันดาลใจของศิลปิน: เมื่อศิลปะคือกระจกสะท้อนตัวตน
ในวงเสวนาศิลปะเชียงราย เราได้ฟังเรื่องราวจากศิลปินหลากหลายวัย หลากพื้นเพ และหลากประสบการณ์ บางคนเรียนมาทางนี้โดยตรง บางคนหลุดออกนอกเส้นทางไปไกล แล้วก็วนกลับมาด้วยความรู้สึกใหม่สิ่งที่เหมือนกันในหมู่พวกเขาคือ—ศิลปะไม่ใช่แค่ผลงาน แต่เป็น “ทางเดิน” ที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจตัวเอง ชีวิต และโลกที่อยู่รอบตัวมากขึ้น
1. การเปลี่ยนอาชีพ – กลับบ้านช่วงโควิด
หลายคนไม่ได้มีพื้นฐานด้านศิลปะ แต่ศิลปะกลับเข้ามาในชีวิตในวันที่ทุกอย่างไม่แน่นอนอย่าง “พราว” เดิมทำออร์แกไนซ์งานแต่งงานในกรุงเทพฯ จนโควิดทำให้ต้องกลับเชียงราย แล้วเธอก็ตัดสินใจเปิดร้านไวน์เล็ก ๆ พร้อมแกลเลอรี่ส่วนตัว
“ตอนแรกจะเปิดร้านไวน์อย่างเดียว แต่พอวาดภาพเลยอยากเปิดแกลเลอรี่ด้วย”
ศิลปะสำหรับเธอคือเครื่องมือเยียวยาใจ และการเริ่มต้นชีวิตบทใหม่ในเมืองบ้านเกิด
2. ศิลปะเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิต
บางคนพบว่าศิลปะอยู่ทุกที่ — ไม่ต้องมีเฟรม ไม่ต้องขึ้นหอศิลป์อย่าง “เดย์” ที่ใช้ชีวิตในฟาร์ม เขาให้พนักงานออกไป “ดูใบกล้วย” เพื่อฝึกสมาธิ และกลับมาเล่าให้กันฟังว่าสังเกตเห็นอะไรบ้าง
“ก่อนตามหาความยั่งยืน ผมเกลียดคำนี้มาก แต่วันนี้เข้าใจว่าความยั่งยืนต้องเริ่มจากตัวเรา”
งานของเขาคือการออกแบบชีวิต ให้เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง
3. จุดเปลี่ยนจากภายใน – จิตวิญญาณ & สมาธิ
หลายคนไม่ได้เข้าหาศิลปะผ่านมหาวิทยาลัย แต่เข้าผ่านความสงบ ผ่านการฟังเสียงของตัวเองมีศิลปินคนหนึ่งออกแบบเครื่องดื่มจากดอกบัวอียิปต์ เพื่อช่วยให้คนที่ดื่ม “นิ่ง” ลง และได้ยินเสียงภายในตัวเองชัดขึ้น
“เราอยากให้คนที่ดื่มเครื่องดื่มนี้รู้สึกสงบ ฟังเสียงข้างในของตัวเองชัดขึ้น”
สำหรับพวกเขา ศิลปะไม่ใช่ภาพวาด แต่คือภาวะภายในที่ถ่ายทอดออกมาเป็นรูป รส กลิ่น เสียง
4. การศึกษาทางอ้อม – เรียนรู้ศิลปะผ่านชีวิต
บางคนไม่เคยเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการเลย แต่กลับเข้าใจมันลึกขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านประสบการณ์ชีวิต อย่าง “ครูโอ๋” ที่เริ่มจากการสอนภาษาจีนให้เด็ก ๆ และมาลงเรียนพุทธศิลป์ในวัยผู้ใหญ่ ก่อนจะเปิด Art Space ที่ผสมวัฒนธรรมจีนเข้ากับการเรียนรู้ศิลปะ
“ไม่เคยเรียนศิลปะ แต่รู้สึกว่าเราค้นหาความรู้ผ่านการใช้ชีวิต”
สำหรับเธอ ศิลปะคือการได้สื่อสารสิ่งลึก ๆ จากใจสู่นักเรียนและชุมชน
5. วัยวุฒิและมุมมองเปลี่ยนแปลง
บางคนเป็นศิลปินมืออาชีพมานาน ทำงานส่งให้กับนักสะสมหรือแกลเลอรี่ระดับประเทศ แต่เพิ่งรู้สึกว่าต้อง “กลับบ้าน”ศิลปินหญิงท่านหนึ่งเล่าว่า ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเธอทำงานอยู่เงียบ ๆ ไม่เคยเชื่อมโยงกับกลุ่มศิลปินในเชียงรายเลย จนกระทั่งถึงจุดที่เธออยากสร้างอะไรให้คนใกล้ตัว
“เรายิงงานเราออกไปสู่โลกนอก แต่มันถึงเวลาแล้วที่เราจะย้อนกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว”
ศิลปะกลายเป็นพื้นที่ให้เธอได้หันกลับมาดูใจตัวเอง และเชื่อมโยงกับคนรอบข้างอย่างแท้จริง
ปัญหาและข้อจำกัดในการดำเนินงาน: ศิลปะไม่ได้ราบรื่นเสมอไป
เบื้องหลังความสร้างสรรค์และบรรยากาศอบอุ่นของวงการศิลปะเชียงราย มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ศิลปินและผู้ดูแล Art Space ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน พื้นที่ คน หรือการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆแม้ทุกคนจะยังเดินหน้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้คือ “ความจริง” ที่ยังต้องจัดการ และผลักดันไปพร้อมกับความฝัน
1. ข้อจำกัดด้านงบประมาณ
เกือบทุกโครงการศิลปะที่เกิดขึ้นในเชียงราย—ไม่มีทุนสนับสนุนจากรัฐหรือองค์กรหลัก ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพา “แรง” และ “เงินส่วนตัว”
- จัดงานจากเงินสะสม
- ขอแรงจากเพื่อน
- วางแผนแบบพอเพียงสุด ๆ
“เราไม่ได้ตั้งเป้าว่ามีงบเท่าไหร่ถึงจะทำได้ เราแค่ตั้งเป้าว่าอยากทำอะไรเพื่ออะไร แล้วหาแรงสนับสนุนจากกัลยาณมิตร”
นี่คือการทำงานด้วยใจล้วน ๆ และไม่ใช่ทุกคนที่พอจะมีแรงแบบนี้ตลอดไป
2. ข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน
หลาย Art Space เริ่มจาก “บ้าน” หรือ “ตึกเก่า” ที่ดัดแปลงมาใช้เอง พื้นที่บางแห่งอยู่ริมทุ่งนา บางแห่งอยู่ในโฮสเทล บางแห่งอยู่ในบ้านที่น้ำเคยท่วม
- งานใหญ่เข้าไม่ได้เพราะพื้นที่เล็ก
- ไม่มีไฟจัดแสดงหรือระบบควบคุมอุณหภูมิ
- ทุกอย่างต้องดัดแปลงเอาเอง
บ้านน้ำท่วม ต้องย้ายนิทรรศการไปอยู่ชั้นสอง เพราะชั้นล่างเต็มไปด้วยโคลน
มันคือความพยายามล้วน ๆ ที่ไม่มีระบบอะไรหนุนหลัง
3. บุคลากรไม่เพียงพอ (โดยเฉพาะพนักงานทั่วไป)
นี่คือปัญหาที่คนทำ Art Space ต้องเจอทุกวัน: ขาดคนช่วย
- ศิลปินต้องทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่วางงาน ยันล้างจาน
- ร้านไวน์บางแห่ง พนักงานไม่กล้าล้างแก้วไวน์ เพราะแก้วบางและแพง
- เจ้าของร้านต้องล้างเอง แม้จะเมาหรือแฮงค์
“แก้วไวน์ใบละพัน ถ้าแตกแล้วไม่คุ้ม ต้องแยกซิงค์ล้างต่างหาก”
เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้สะท้อนภาระที่คนทำพื้นที่ต้องรับอยู่ทุกวัน
4. การเข้าถึงระบบความรู้ / การตลาด
หลายคนเป็นศิลปินที่เก่งด้านสร้างสรรค์ แต่ไม่ได้มีพื้นฐานด้านการตลาด หรือบริหารจัดการ
- ขายงานไม่ได้บ้าง ได้บ้าง
- ไม่มีระบบกระจายงานหรือสร้างรายได้ระยะยาว
- ต้องลองผิดลองถูกตลอด
“ถ้าเราไปชนกับเซเว่น มันไม่มีทางสู้ราคาได้ ต้องเลือกไวน์ที่ไม่หาซื้อตามร้านสะดวกซื้อ”
การอยู่รอดในเชิงเศรษฐกิจจึงยังเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับคนทำ Art Space ที่นี่
5. ความไม่ต่อเนื่องและขาดความมั่นคง
แม้หลายโครงการจะน่าสนใจและมีศักยภาพ แต่ก็ต้อง “หยุด-เริ่มใหม่” บ่อยครั้งตามสถานการณ์ เช่น:
- น้ำท่วม
- โควิด
- เศรษฐกิจแย่
- ขาดคนสานต่อ
ไม่มีหน่วยงานเข้ามารับช่วงต่อ หรือช่วยจัดระบบให้เกิดความยั่งยืน
เชียงรายกำลังกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนด้วยศิลปะจากรากฐานของชุมชน แทนที่จะพึ่งพาทุนหรือโครงสร้างขนาดใหญ่ ศิลปินและผู้ดูแล Art Space หลายคนใช้ชีวิตจริงเป็นแรงบันดาลใจ เปิดพื้นที่จากบ้าน จากร้าน หรือจากฟาร์ม เชื่อมโยงผู้คนผ่านนิทรรศการ เวิร์กชอป และกิจกรรมเพื่อสังคม แนวทางแบบ “ฮอมปอย” ทำให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้ แม้ไม่มีงบหรือความพร้อมครบถ้วน แม้จะเจอข้อจำกัดด้านทุน พื้นที่ บุคลากร และความมั่นคง แต่ความเชื่อร่วมว่า “ศิลปะคือการใช้ชีวิต” ทำให้ระบบนิเวศศิลปะของเชียงรายยังเติบโตอย่างมีชีวิต และมีความหมาย.