ชีวิต (ถูก) ลิดรอน

ชีวิต (ถูก) ลิดรอน

บทความสัมภาษณ์ฉบับเต็ม : ชัยธวัช จอมติ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

เรื่องและภาพ : ธวัชชัย ดวงนภา


บทนำ

ฉันออกเดินทางแต่เช้า ขับรถจากตัวเมืองเชียงราย มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขา สองข้างทางคือภาพของไร่นาและหมอกบาง ทอดยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
เวลาผ่านไปแรมชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่านั้นในความรู้สึก เพราะระหว่างทางเต็มไปด้วยความคิดและคำถามที่เตรียมไว้สำหรับพี่ทศ ชัยธวัช จอมติสองชั่วโมงบนถนนที่คดเคี้ยว ในที่สุดก็ถึงที่หมาย

บ้านไม้ของพี่ทศตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ร่มเงาของต้นไผ่โอนล้อม แสงเช้าอาบผิวบ้านจนดูอบอุ่น
เสียงนกในไพรยังคงร้องรับวันใหม่ ฉันก้าวเข้าบ้าน ความตื่นเต้นผสมความสงสัยในใจ

เป้าหมายของการสนทนาในวันนี้ชัดเจน ฉันไม่ได้มาเพียงเพื่อเก็บเรื่องเล่า แต่ต้องการฟังเสียงของคนดั้งเดิม เราอยากรู้ ว่าในวันที่รัฐกำลังขีดเส้นกฎหมายใหม่ ๆ อย่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์  “สิทธิ” และ “ความสัมพันธ์กับมนุษย์” ในแบบของพี่ทศและชุมชนนี้ ยังมีที่ยืนอยู่ตรงไหน

รากเหง้าแห่งภูเขา กับคำถามของผู้ไร้ตัวตน

ฉันนั่งฟังพี่ทศเล่าใต้ชายคาบ้านไม้กลางดอย เสียงลมเฉียดยอดไผ่และไก่ขันในหมอกบาง ๆ ทำให้เรื่องเล่าของเขาดูจะมีน้ำหนักกว่าปกติ

“ปู่ผมจะเป็นคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการเลี้ยงดูช้าง เจ้าเมืองก็เลยเชิญให้มีบทบาทในเรื่องของการดูช้างเรามีหนังสือราชการเป็นหนังสือเดินทาง”

ฉันเห็นแววตาพี่ทศพาใจย้อนอดีต ครอบครัวเขาเป็นคนดั้งเดิมบนผืนดินนี้มาหลายชั่วอายุคน เรื่องราวของปู่สุขา กับหนังสือเดินทางสมัยก่อตั้งอำเภอเวียงเป้า ถูกหยิบยกมาเป็นเส้นทางยืนยันว่า

“เราอยู่ที่นี่จริง ๆ”

แต่สายน้ำของประวัติศาสตร์ ไม่เคยไหลตรงเสมอ พี่ทศยังเล่าต่อ “หลังจากนั้นเนี่ยประมาณ ช่วงต้นของ พ.ศ. 2500  เราก็ได้สัญชาติแต่มันเกิดเหตุการณ์ในช่วงยุคคอมมิวนิสต์ครับ มันเกิดการสังหารผู้ว่าที่อำเภอเทิง แล้วก็ทางราชการเนี่ยไล่เก็บคืนสัญชาติหมดเลย ซึ่งเราก็ได้รับผลกระทบด้วยนะครับ”

ชีวิตของคนดอยในวันที่เหตุการณ์ใหญ่ในเมืองเกิดขึ้น แม้จะ “ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย”
แต่กลับต้องถูกเหมารวม ถูกลดชั้นจาก “คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์” กลายเป็น “พลเมืองชั้นสองไปแล้วนะครับ”

“มันเป็นการตีเหมารวมว่าชาวเขา เขานิยามคำว่าชาวเขาคือคนอยู่บนดอยคือชาวเขาหมดเลย โดยที่ไม่ได้ดูประวัติ ไม่ได้ดูศึกษาความเป็นมาเลย ชาวบ้านได้รับผลกระทบทั้งหมด คนที่อยู่บนดอยเนี่ย สถานะเปลี่ยนทันทีเลยนะครับ อันเนี้ยก็คือความเหลื่อมล้ำของสังคมนะครับ”

ลมหายใจของเรื่องเล่าหนักแน่นขึ้น ฉันนึกถึงคำว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ที่ลอยวนรอบขอบป่า
แต่ในที่สุดวันคืนก็ขยับคลายปม  “แต่ว่าตอนหลังมาเราก็ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสัญชาตินะครับ ก็คือชาวบ้านที่นี่ทุกคนก็ได้รับสัญชาติทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์”

บ้านของพี่ทศผ่านยุคมืดมาได้ แต่แผลบางแห่งในระบบยังคงอยู่
“แต่มันจะมีชนเผ่าอื่นที่เพิ่งเข้ามา ก็มีการตกหล่นบ้างก็มี แต่ว่าผมคิดว่าการแก้ปัญหาเรียกร้องเรื่องสัญชาติมันก็ควรจะละเอียดกว่านี้นะครับ ”

เสียงของพี่ทศดังชัดในบ้านไม้กลางไอหมอก ย้ำถึงบาดแผลและรากเหง้า
สัญชาติที่ควรเป็นของ “คนอยู่ที่นี่จริง ๆ” กลับต้องเผชิญข้อจำกัดจากเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยมีส่วนร่วม
และแม้ปัญหาในหมู่บ้านเขาจะจบลงแล้ว ทว่าสำหรับบางแห่ง เรื่องราวนี้ยังคงค้างอยู่ในขอบเขตที่รัฐอาจไม่เคยมองเห็น

สายใยหลากเชื้อชาติในทุ่งฝันที่หมุนเวียน

หมู่บ้านของพี่ทศไม่ได้มีเพียงเสียงภาษากะเหรี่ยง แต่ยังมีสำเนียงจากแดนไกลที่ข้ามขุนเขามาแทรกปะปนในสายลมยามเช้า “มันจะมีชนเผ่าอื่นที่เพิ่งเข้ามา ในยุคของเสื้อผ้าผืนหมอนใบเนี่ย ยุคฝิ่นก็ประมาณ 2495 ยุคนั้นก็ยุคปลูกฝิ่นอะไรพวกนี้รุ่งเรือง”
เสียงพี่ทศพาเราล่องลอยกลับไปยังยุคที่ขุนเขายังไม่มีรอยแผลจากการลอบตัดไม้หรือเผาป่า

กลุ่มอพยพแต่ละระลอก นำเอาวัฒนธรรม วิถีชีวิต และเศรษฐกิจแบบใหม่ติดมือมาด้วย
 “รัฐบาลเนี่ยเขาได้เชิญพวกกลุ่มชนกลุ่มน้อยชนเผ่าในเมืองจีนมาสอนในการเริ่มปลูกฝิ่นแล้วก็มาตั้งถิ่นฐานอยู่เลย ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าม้งนะครับ ก็ลีซูเป็นส่วนน้อย ยุคหลังปิดฝิ่นก็ยุคฟื้นฟูครับ ไปเอาแรงงานจากเพื่อนบ้าน ทยอยเข้ามาด้วยเส้นทางธรรมชาติ ”

เมื่อวิถีชีวิตไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างในหมู่บ้านก็เปลี่ยนไป

“เขาอยู่กับเราไม่ได้ เขาอยู่แบบนั้นไม่ได้ ทรัพยากรไม่เพียงพอ เขาก็ต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำเศรษฐกิจพวกนั้น เขาก็เลยโค่นป่าตัดป่า อันนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การตัดไม้ทำลายป่า ”

ต้นไม้ที่เคยยืนต้นเงียบ ๆ ริมลำห้วย กลับถูกแทนที่ด้วยแปลงกะหล่ำปลีหรือข้าวโพด

“เพราะวิถีเขาไม่ได้ปลูกข้าวกินอย่างคนปกาเกอะญอเนี่ย วิถีชีวิตก็คือปลูกข้าวพอกิน คุณภาพชีวิตดีแล้วแต่เขาต้องปลูกพืชเศรษฐกิจขาย”

แต่บางครั้ง เสียงของขวานที่สับต้นไม้ยังไม่เจ็บเท่าเงามืดที่ทอดลงมาจากสายตาของรัฐ
ภาพของหมู่บ้านแห่งนี้ถูกขีดเส้นขึ้นใหม่ด้วยปลายปากกาของคนที่ไม่เคยรู้จักกลิ่นป่าจริง ๆ ในสมุดบัญชีของราชการ พวกเขากลายเป็นแค่ “ชาติพันธุ์”
กลุ่มหลากหลายที่เคยอยู่ร่วมฟ้าฝนเดียวกัน ถูกเกลี่ยถูกรวมให้อยู่ในหมวดหมู่เดียว
แตกต่างเพียงใดกลับถูกเหมารวมเหมือนท้องฟ้าในฤดูฝน
และเมื่อใครคนหนึ่งเผลอพลาดหรือทำผิด ก็เป็นทั้งเผ่าพันธุ์ที่ต้องรับเคราะห์เหมือนกันหมด

ความหมายของ “ชาติพันธุ์” ที่ควรจะเป็นรากแก้วของความหลากหลาย
กลายเป็นเพียงฉลากที่รัฐนำไปใช้บริหารจัดการชีวิตผู้คน
ฉลากที่เหมารวมทั้งเผ่าพันธุ์ ความฝัน และเรื่องราวชีวิตไว้ใต้คำสั่งเดียว
ราวกับใครบางคนสามารถเข้าใจภูเขาและคนด้วยแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะกระจก โดยไม่เคยเหยียบดินหรือเดินฝ่าไอหมอกยามเช้าในหมู่บ้านนี้เลย

รอยเท้าชุมชนบนผืนดินที่รอการรับรอง

หลังปี 2553 หมอกบางในหุบเขาแห่งนี้เริ่มขยับตัว
ไม่ใช่เพราะลมเปลี่ยนทิศ แต่เพราะคลื่นของนโยบายใหม่จากกรุงเทพฯ เคลื่อนผ่านเข้ามา

“หลังจากที่มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่สามสิงหา ว่าด้วยแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง เราผลักดันให้มี พ.ร.บ. ตรงนี้ผ่าน หมู่บ้านเราก็เป็นพื้นที่นำร่องเหมือนกัน…”

หมู่บ้านของพี่ทศกลายเป็นต้นแบบของ “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”
ไม่ใช่แค่ในนโยบายของรัฐ แต่ยังถูกกล่าวขานในเวทีนานาชาติ

แต่ใต้เงารางวัลและคำประกาศเหล่านั้น ชาวบ้านก็ยังต้องแบกความคลุมเครือไว้ในใจ

“สถานะของมติ ครม. เนี่ย ไปเทียบเท่าหักล้างกับกฎหมายไม่ได้ กฎหมายป่าสงวนก็ดี พ.ร.บ.อุทยานก็ดี ถ้ามันไปครอบพื้นที่ตรงนั้นอยู่ สถานะมันคือกฎหมายควบคุมอยู่ เราใช้แค่มติ ครม. ยังไม่พอ ”

ในชีวิตจริง ทุกเช้าชาวบ้านยังคงปลูกข้าว เดินป่า ดูแลผืนดินราวกับเป็นบ้านของตนเอง
แต่หากวันหนึ่งมีปัญหา กฎหมายที่เขียนขึ้นไกลจากภูเขาเหล่านี้ก็พร้อมจะใช้ลงโทษหรือริบสิทธิ์ของพวกเขาได้เสมอ ความมั่นคงในสิทธิที่ควรเป็น “รากฐาน” กลับกลายเป็น “เงา” ที่ชาวบ้านต้องเดินตามโดยไม่รู้ว่าจะสั้นหรือยาวแค่ไหน 

“เราดูแลป่าในสถานะของเรารู้สึกว่าป่ามันเป็นของเราเองนะ แต่ถ้าสถานะของรัฐ คือเราดูแลให้กับรัฐฟรี ๆ”

เขตคุ้มครองจึงเป็นได้เพียง “เกราะบาง” ที่ช่วยบังแดดบังฝนไว้ชั่วคราว

ตราบใดที่อำนาจการตัดสินยังอยู่ในมือรัฐ และเส้นแบ่งในแผนที่ยังไม่รับฟังเสียงของชุมชน
ชาวบ้านก็ยังคงต้องใช้ชีวิตด้วยความหวังและระแวดระวัง พร้อมทั้งตั้งคำถาม สิทธิของคนในบ้านเกิด จะมั่นคงจริงเมื่อไร ?

กฎหมายที่หยั่งราก กับชีวิตที่รอการคุ้มครอง

เสียงเท้าคนเดินบนดินร่วนและเสียงใบไม้สีกันในยามสาย
คือหลักฐานเงียบ ๆ ว่าชีวิตกับผืนป่าเคียงข้างกันมาแต่โบราณ

แต่กับสายตาของรัฐและตัวบทกฎหมาย
วิถีเหล่านี้กลับเปราะบางราวเงาบางของใบไผ่

พี่ทศพูดถึงความจำเป็นของ “พื้นที่คุ้มครอง” ใน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงด้วยความกังวล

“สถานะของมติ ครม. เนี่ย…มันไปเทียบเท่าหักล้างกับกฎหมายไม่ได้ ถ้ามันไปครอบพื้นที่ตรงนั้นอยู่ สถานะมันคือกฎหมายควบคุมอยู่ เราใช้แค่มติ ครม. ยังไม่พอ มันมีความจำเป็นที่จะต้องเอาพื้นที่คุ้มครองตรงนี้ไปบัญญัติไว้อยู่ใน พ.ร.บ เพื่อที่จะ กฎหมายมันหักล้างกฎหมาย”

ไร่หมุนเวียนที่สืบทอดมาแต่ปู่ย่า กลายเป็นเรื่องล่อแหลมทันทีที่รัฐไม่รับฟัง

“การทำไร่หมุนเวียนมันล่อแหลม ถ้าไม่มีสถานะทางกฎหมายเนี่ย ไม่มาคุ้มครองถ้าชาวบ้านโดนจับ เราไม่มีพื้นที่ช่องทางในการสู้คดีเลยนะ เราคือผิดเต็ม ๆ เลย”

หากในสายตาของคนเมือง ไร่หมุนเวียนเป็นเพียง “ป่าเสื่อมโทรม” หรือ “การบุกรุก”
แล้วอะไรจะเหลืออยู่ให้คนรุ่นต่อไปจดจำ ?

ความรู้เรื่องดินฟ้าและฤดูกาลที่สืบทอดกันมา เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปู่ย่ารวบรวมไว้ในยุ้งภูมิปัญญา และความรักที่ประสานร้อยเป็นสายใยชุมชน ล้วนร่อยหรอลงทีละน้อย

ไร่หมุนเวียนหนึ่งแปลงที่หายไป อาจหมายถึงองค์ความรู้ทั้งชีวิตที่ไม่สามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้

“การสูญหายไร่หมุนเวียน มันจะสูญหายตามไปด้วยเมล็ดพันธุ์ ตามไปด้วยองค์ความรู้ภูมิปัญญา ตามไปด้วยคนรุ่นใหม่.”

นั่นคือเหตุผลที่ “พื้นที่คุ้มครอง” ใน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์
จึงมิใช่แค่ถ้อยคำบนหน้ากระดาษ หากแต่เปรียบเสมือนเสาหลักที่หยั่งรากลงในผืนดิน
เป็นที่พึ่งสุดท้ายของชุมชน ให้สิทธิและเสียงของคนบนดอยได้มีที่ยืนอย่างมั่นคง ไม่ใช่เพียงสายลมที่พัดผ่านไปในวันที่รัฐคิดถึง เป็นหลักประกันว่าเรื่องราวและรากเหง้าที่สั่งสมกันมา จะไม่หายไปเพียงเพราะใครบางคนไม่เข้าใจ


“สำหรับอยู่ด้านในไม่เคยท้อ ก็คือเราดูแลโดยที่แบบ วิถีชีวิตมันคือบ้านของเรา เราดูแลให้ลูกหลาน แต่ถามว่าเราเรียกร้องไหม มันก็ควรจะมี มันก็ควรจะเกิดขึ้นนะครับ แต่ว่ามันไม่มีวันนี้ก็ไม่เป็นไรครับ ก็ไม่ได้ย่อท้อก็ทำต่อไปนะครับ ”

แม้ไม่มีใครรับรองในกระดาษ
แต่คนในป่ายังคงเดินบนเส้นทางเดิม
เพียงแต่เดินด้วยหัวใจที่ต้องคอยมองหาความมั่นคงที่ไม่เคยมีจริงในแผ่นดินของตนเอง

เมื่อโอกาสถูกแช่แข็ง ใต้กฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็น

ถึงจะถือบัตรประชาชนไทยในกระเป๋า
แต่ในความจริง ชีวิตของชาวบ้านบนดอยแห่งนี้ยังคงถูกขีดกรอบด้วยข้อจำกัดที่มองไม่เห็น
ฟ้าไม่เคยมาเยือนด้วยสายส่งของรัฐ

“ผมต้องติดตั้งโซล่าเซลล์เอง 80,000 ” พี่ทศเอ่ยเสียงเรียบ “ถามว่าประชาชนทั่วไปในเมืองที่มีไฟฟ้าใช้ เขาต้องจ่ายค่าต้นทุนขนาดนี้เลยเหรอ ผมว่าไม่มีนะครับ”

ความเจริญที่เคลื่อนตัวเร็วในเมืองใหญ่ เหมือนจะหยุดนิ่งเมื่อถึงขอบป่า
ตรงนี้ เวลาถูกแช่แข็งไว้ด้วยต้นทุนที่สูงกว่าใครที่ดินก็ไม่อาจเป็นเจ้าของจริง
แม้จะปลูกชา ดูแลผืนดินและรักษาต้นไม้ในไร่ของตนเอง
แต่ในสายตาของรัฐ ที่นี่คือ “ป่า”
ไม่มีโฉนด ไม่มีสิทธิ์จะสร้างโรงงานแปรรูปน้ำผึ้งหรือชา
“ที่นี่ไม่มีโฉนด ไม่สามารถทำโรงงานได้ ต่อให้ห้องแพ็คสะอาดแค่ไหนก็ไม่รับรอง”
ความฝันที่จะยกระดับผลิตผลท้องถิ่นให้ไปได้ไกลจึงถูกปิดตายตั้งแต่แรกเริ่ม

โอกาสทางเศรษฐกิจที่ควรเปิดกว้าง
กลับถูกตีกรอบและกดทับจนเหลือเพียงความพยายาม
แม้จะมีศักยภาพและหัวใจที่อยากพัฒนา

ชาวบ้านจึงยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ใน “กรอบ” ที่ใครบางคนวางไว้
กรอบที่เย็นชา แข็งทื่อ และไม่เปิดโอกาสให้เรื่องเล่าของบ้านดอยได้เดินทางออกไปสู่โลกกว้าง

เมื่อภูมิปัญญาถูกลืมในเงาของกระดาษ

ใต้เงาไผ่และริมควันไฟไร่หมุนเวียน คือชีวิตที่ฝังรากในดินนี้
ที่นี่ วัฒนธรรมไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าหรือคำขวัญติดผนังโรงเรียน
แต่เป็นจังหวะของลมหายใจ เป็นความรู้ที่ถ่ายทอดจากมือปู่ย่าสู่หลาน

แต่ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
มาตรการรัฐที่ห้ามเผา ห้ามใช้ที่ดินตามวิถีดั้งเดิม
ค่อย ๆ กัดกร่อนเส้นทางของภูมิปัญญา
ไร่หมุนเวียนที่เคยเป็นห้องเรียนกลางป่า กลายเป็นข้อหา

“มันถูกกดดันทางอ้อมโดยการที่แบบห้ามเผานู่นนี่นั่น บางหมู่บ้านทิ้งไร่หมุนเวียนไปเลย หันมาปลูกข้าวโพด วิถีชีวิตก็เสียไปด้วย”

เยาวชนเดินออกจากบ้าน
เข้าโรงเรียนที่ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วในตารางสอน
“มันไม่มีช่อง เราก็เคยทำโรงเรียนชุมชนเกิดขึ้นมาเหมือนกัน แต่มันไม่ไหว ต้องหาเงินมาจ้างครูเอง”
บทเรียนเรื่องราวของดิน น้ำ ฟ้า และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ กลายเป็นเพียงความทรงจำของคนรุ่นก่อน
ลูกหลานเติบโตโดยไม่รู้ว่าข้าวเมล็ดแรกเกิดขึ้นอย่างไรในแปลงหมุนเวียน
หรือว่าทำไมเราต้องนับวันเวลาตามฤดูกาล

ความผูกพันระหว่างคนกับดิน
กับป่า และกับรากเหง้าตนเอง
ค่อย ๆ จางลงกับกระแสชีวิตใหม่
ในโลกที่วัดคุณค่าด้วยมาตรฐานจากที่ไกล
แต่หลงลืมไปว่าความหมายของบ้าน อาจอยู่ในรอยเท้าของเด็กน้อยที่เคยเดินตามปู่เข้าสวนมากกว่าในหนังสือเรียนทุกเล่ม

ขากลับ ฉันนั่งรถออกจากหมู่บ้าน ลัดเลาะไปตามถนนที่คดเคี้ยวเหมือนความคิดในหัว
สายลมบนดอยเย็นเฉียบแต่ในใจกลับอบอุ่นด้วยเรื่องเล่าของผู้คน
ฉันครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่ยังอ้อยอิ่งในความทรงจำ
และชีวิตนับร้อยที่เงียบงันแต่หนักแน่น

การเดินทางครั้งนี้สอนให้ฉันเห็นว่ากฎหมาย ไม่ได้เป็นแค่ข้อบังคับบนหน้ากระดาษ
แต่คือโอกาสในการ “คืนชีวิต” ให้กับความฝันและรากเหง้าของผู้คน
พรบ.ชาติพันธุ์ที่กำลังรอคอยการผ่าน  มันไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางนโยบาย
แต่คือความหวังที่วันหนึ่ง สิทธิ เสียง และวิถีชีวิตของชุมชนดั้งเดิม
จะไม่ถูกลิดรอนหรือเลือนหายไปกับสายลมบนยอดดอยอีกต่อไป